สังคมของอภิสิทธิ์ชน
14 Jun 2021
ผมมักขำๆ เวลาใครเอ่ยพูดเรื่องประเทศไทยที่เจริญก้าวหน้า แบบ... แบบไปทางฝรั่ง เพราะมันยาก ตรรกกะเราไม่มีทางไปแบบนั้น เพิ่มมหา’ลัย อีก 3 เท่า ให้คนไทยจบขั้นต่ำปริญญาโท หรือ Ph.D ดอกเตอร์ ด้วยซ้ำ!!
อาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากประชาชนคนไทยอกหักอย่างแรง เรื่องฉีดวัคซีน หลายคนอุตส่าห์ไปนั่งสมัครตาม app เพื่อให้ได้ก่อน เพื่อปกป้องตัวเอง เพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาหามาให้ได้ เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ดูยุ่งยาก ดูวุ่นวาย ดูไร้ความสามารถไร้ปัญญา ตอนนี้ทำได้แค่ออกมาลีลา แบบข้าราชการ หรือนักการเมืองไม่มีสมอง พูดสวยๆ ไปวันๆ
ในขณะที่ ตามหน้าเฟซ เพื่อน พี่น้อง มิตรสหายที่เป็นข้าราชการโพสต์โชว์การฉีดวัคซีนกันถ้วนหน้า สำหรับผมไม่เคยแปลกใจที่ประเทศนี้ให้อภิสิทธิ์สูงกับข้าราชการ แต่หนักใจมากกว่าว่า ประเทศนี้จะหาความเจริญ หรือทางออกให้ตัวเองได้อย่างไร เพราะกลุ่มบุคคลที่ควรฉีด บางส่วนใช่ สำหรับข้าราชการที่ต้องทำงานกับประชาชนมากมายแต่ละวัน แต่นอกนั้นก็ไม่น่าจะรีบ กลับกัน หัวใจของการขยับขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โซนโรงงานต่างๆ ภาคอุตสาหกรรม สถานที่ท่องเที่ยวร้านค้า ผับบาร์ต่างๆ ซึ่งนี่คือเชื้อเพลิงกระตุ้นเศรษฐกิจ และธุรกิจการท่องเที่ยว คือหัวใจของประเทศนี้ จึงเป็นโซนที่ควรปลอดภัยมาก่อน เพื่อดันระบบเศรษฐกิจให้ตื่น ให้ขยับ ปัญหาตอนนี้ที่หนักและยาวนานกว่าโควิด คือระบบเศรษฐกิจ ระบบการกระจาย หรือบริหารงบประมาณ ที่หนักหน่วงไปทาง งบประจำของภาคราชการ
ความอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นมันเป็นรากวัฒนธรรมอำนาจแบบชนชั้นที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ยุคเจ้าขุน มูลนาย ไพร่ทาส เป็นของกำนัลให้ผู้ที่จงรักภักดี แต่ปัจจุบันประเทศนี้ เป็นรัฐสมัยใหม่ ข้าราชการคือลูกจ้างของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ค่าตอบแทนจากภาษีประชาชน และประชาชนมีหน้าที่ทำงานเพื่อเสียภาษี รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลกันอย่างเท่าเทียม
การมานั่งดูอภิสิทธิ์ชนดีใจกระโดดโลดเต้นที่ได้ฉีดวัคซีนก่อน บางทีก็ทำให้เราแอบถามตัวเองว่า แล้วกูหละ? ไม่ได้ หรือยังไม่ถึงเวลา (และอีกนานกว่าจะถึง) เพราะ...? พ่อแม่เราหละ ?
ตอนนี้ เริ่มเห็นหลายคนหาทางเข้าไปซื้อ หรือยอมจ่ายเพื่อให้ได้ฉีด สนนราคาก็แพงพอดู ในขณะที่ ประเทศลาว กัมพูชา แจกจ่ายไล่ฉีดเกือบครบทุกคน ก็อดถามไม่ได้ว่าประเทศของผมมันเป็น ...อะไร?
ผมรู้ว่าหลายปีมานี่ เพื่อน พี่น้องผมหลายคนที่เป็นข้าราชการไม่คุยกับผมหรือเลิกคบหา เลิกรู้จักมักคุ้นกันไปหลายคน ไม่ใช่สิ... เกือบทั้งหมด ตัดความสัมพันธ์กับผมสิ้นแล้ว คนที่รู้จักหลายคนแทบจะไม่เข้ามาอ่านหรือ กด like หรือแม้แต่ไม่รับรู้การเม้นท์ แลกเปลี่ยน ทักทายของผม จากข้อวิจารณ์ เรื่อง ระบบราชการ และรากวัฒนธรรมอภิสิทธิ์ชน ผมยืนยันนะครับว่าอาชีพราชการเป็นนอาชีพที่สำคัญ และจำเป็น ควรได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่หมายถึงความอภิสิทธิ์
อย่าโกรธเกลียดผมเลย ที่ผมเรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียมในฐานะมนุษย์เช่นเดียวกัน ผมโตมากับการรับรู้ รับฟัง เรื่อง“สิทธิข้าราชการ” มาตลอด เปลี่ยนเถอะ เปลี่ยนมาเป็นสิทธิของประชาชนคนไทยเท่าๆ กัน เหมือนประเทศอื่นๆ ที่เขาเจริญๆ เถอะ...
จากเกษตรกรขบถ แห่งไร่ทวนลม
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตนำบทความนี้จาก https://www.thaingo.org/content/detail/5406 มาฝากผู้อ่านคอลัมน์ เนื่องจากเห็นว่าพูด (เขียน) ได้ตรงประเด็นดีมาก และเป็นการสะท้อนภาพจริงของสังคมไทยในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี แล้วก็ยังสามารถสะท้อนภาพจริงอื่นๆ ของสังคมไทยได้ดีอีกด้วย
จำได้ว่าในคอลัมน์นี้เคยหยิบยกประเด็นความเป็นอภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยมาพูดเป็นระยะๆ ด้วยความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความเป็นอภิสิทธิ์ชนจะถูกลดลงไปเป็นลำดับในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตามขอย้ำว่า ผู้เขียนไม่ได้ naive (ไร้เดียงสา) เสียจนไม่รู้ว่าสังคมต้องมีการแบ่งงานกันทำตามโครงสร้างและหน้าที่ของสังคม (Structural and Functional of Social) แล้วไม่เคยบอกว่าสังคมไทยต้องปราศจากชนชั้น เพราะทุกสังคมล้วนมีชนชั้นทั้งสิ้น แต่เพียงแค่ว่าชนชั้นต่างๆ ในสังคมที่เจริญแล้วเขาไม่เอารัดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าอย่างรุนแรงเท่านั้น ซึ่งผิดกับสังคมไทยอย่างมาก เพราะสังคมไทยนั้น แม้กระทั่งคนที่อยู่ในชนชั้นเดียวกันก็ยังอุตส่าห์ตะกายดาว ยกเอาตัวเองขึ้นไปเหนือกว่าคนที่อยู่ใน class เดียวกัน แล้วเอาเปรียบคนใน class เดียวกันอย่างไร้ยางอาย
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ มากที่สุดคือ การที่คนบางจำพวกในสังคมไทยตะเกียกตะกาย ทุรนทุรายพาตัวเองเข้าไปอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนต่างๆ นานาที่ขยันเปิดเสียจนรกสังคมไทย (ผู้เขียนมั่นใจว่าผู้อ่านมองเห็นชื่อหลักสูตรที่ว่านั้นได้โดยพลัน อาจเป็นเพราะผู้อ่านบางรายก็พยายามตะกายเข้าไปมาแล้ว!!!)
ก่อนอื่นต้องถามว่า ทำไมจึงมีหลักสูตรอภิสิทธิ์มากมายเหลือเกินบนแผ่นดินไทยในยุคนี้ มีไปเพื่ออะไร ตั้งหลักสูตรเพื่อประโยชน์สาธารณะ จริงๆ หรือ ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าน่าจะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวสำหรับกระเพาะของคนบางกลุ่มเท่านั้น แล้วก็ยังไม่เคยเห็นว่าสังคมจะได้ประโยชน์ใดๆ อย่างเป็นชิ้นเป็นอันเป็นแก่นสารจากการมีหลักสูตรเหล่านั้น แถมบางคนก็ทุรนทุรายเข้าไปอบรมหลักสูตรพิสดารเหล่านั้น โดยยอมจ่ายเงินจำนวนมิใช่น้อย แถมวิ่งเต้นสารพัดทางอีกด้วย ถามว่าเขาเหล่านั้นทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพราะต้องการช่วยสังคม กระนั้นหรือ ขอถามหน่อยเถอะว่า เป็นการช่วยเหลือสังคมตรงไหน มิทราบ
ผลพวงจากการกระเสือกกระสนพาตัวเข้าไปสมาคมหรือเกลือกกลั้วกับคนกลุ่มต่างๆ ในหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนสารพัดชนิดก็คือการได้รู้จักกัน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกับการรู้จักกัน) แต่หลายรายมีเป้าหมายเพื่อบำรุงบำเรอกระเพาะของตนเอง โดยไม่แยแสความสุขความทุกข์ของเพื่อนร่วมสังคม เพราะฉะนั้น การอ้างว่าเข้าไปอบรมเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม จึงเป็นข้ออ้างที่เข้าข่ายมดเท็จโดยปริยาย
สิ่งหนึ่งที่สังคมเห็นชัดๆ คือผู้ที่เข้าไปเกลือกกลั้วกันในหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่มุ่งหวังผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง ดังจะพบว่าในบางหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่อ้างตัวว่าเป็นหน่วยงานอิสระนั้น ต่างเต็มไปด้วยลูกหลานโคตรเหง้าของผู้ที่เข้าไปอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชน รวมถึงตัวของผู้ที่เข้าไปอบรมด้วย ดังจะพบว่าบางคนอบรมไปกว่า 10 หลักสูตร แล้วสุดท้ายได้เข้าไปเป็นผู้บริหาร หรือได้เป็นกรรมการบริหาร (บอร์ด) ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ และเอกชน
ถามว่าผิดไหมกับการเข้าไปเป็นบอร์ดของหน่วยงาน ตอบว่าไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หากเขาผู้นั้นมีความเหมาะสม มีสติปัญญา และมีคุณธรรม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นมีสติปัญญา มีคุณธรรม และมีความเหมาะสมจริงหรือ ขอถามตรงๆ ว่าผู้บริหารระดับสูงที่มีหน้าที่ มีภารกิจมากมายจะหาเวลาว่างจากการทำงานจริงๆ จังๆ ไปอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนได้อย่างไร หนีงาน ทิ้งงานไปอบรมใช่หรือไม่ แล้วทิ้งงานให้ใครรับผิดชอบแทน หรือกลับมาทำงานชดเชยจนถึงตีสองตีสามทุกวัน
หากไม่เชื่อ โปรดเข้าไปดูไส้ในของฝ่ายบริหารในองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรที่อ้างตัวว่าเป็นองค์กรอิสระแล้วจะประจักษ์ความจริง แล้วจะพบว่าเต็มไปด้วยเส้นสาย พวกพ้อง โคตรเหง้าของอภิสิทธิ์ชน หลายรายมาจากคนใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจระดับนำในคสช. (ดูชัดๆ ได้จาก ป.ป.ช. และ กสทช. และฯลฯ) ทั้งนี้ยังไม่นับในแวดวงราชการอื่นๆ อีกมากมาย แม้กระทั่งฝ่ายบริหารระดับสูงในมหาวิทยาลัยก็ยังหนีไม่พ้นระบบเส้นสาย พวกพ้อง เครือข่าย ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดีจำนวนไม่น้อยได้ตำแหน่งเพราะเส้นสาย มิใช่เพราะสติปัญญาและความสามารถ
ขอย้ำยืนยันว่า สังคมไทยไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของพวกพ้องไปเสียทั้งหมด เพราะอย่างน้อยการทำงานกับคนที่รู้จักมักคุ้นกันก็เป็นเรื่องที่ทำให้การงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว แต่นั่นหมายความว่าต้องเป็นพวกพ้องที่มีสติปัญญา มีความสามารถ และมีความเป็นมนุษย์ มีความละอาย มีศีลธรรม ไม่ใช่พวกพ่องจำพวกเอาขี้ข้าขี้ครอกไร้ความสามารถ ไร้ปัญญา ไร้ความรู้ ไปเป็นผู้บริหารหน่วยงาน หรือไม่ใช่เอาพวกหัวหน้าโจร และสมุนโจรไปเป็นผู้บริหารหน่วยงาน
ไม่มีใครว่าอะไรเลย และจะไม่มีใครขัดขวางคัดค้าน หากผู้มีอำนาจรัฐจำพวกชอบเล่นเส้นเล่นสายจะขนเอาคนไร้คุณภาพ ไร้ความสามารถ ไร้สติปัญญา ไร้ความละอายไปเป็นคนทำกับข้าวในบ้านของตน หรือเป็นคนขับรถยนต์ ทำความสะอาดบ้าน คนสวน หรือคนขัดรองเท้าของตน แม้กระทั่งเป็นคนเลี้ยงลูกของตน แต่ขอร้องเถอะ ขออย่างได้ส่งคนไร้ความสามารถ ไร้สมอง ไร้ปัญญา ไร้ความละอายไปเป็นผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐ ของรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่อ้างว่าอิสระเลย เพราะมันคือการทำลายประเทศให้ย่อยยับด้วยพวกอภิสิทธิ์ชนที่ไร้ความละอายไร้ความสามารถ และไร้สติสิ้นปัญญา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี