เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2565 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาคดีให้ทายาทโดยธรรมของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. ร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จํานวน 587 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอีกจำนวนมาก สืบเนื่องจากความเสียหายจากการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม.
เป็นอุทาหรณ์ว่า แม้แต่นายสมัครเสียชีวิตไปแล้ว แต่กรรมของคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิง ที่สร้างความเสียหายแก่กรุงเทพมหานคร ก็ยังตามไปถึงทายาทโดยธรรมของเจ้าตัวได้
1. ศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า
“...เมื่อนายสมัครเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของผู้ฟ้องคดี และเป็นผู้มีอํานาจอนุมัติสั่งซื้อฯ จึงควรต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในอัตราร้อยละ 30 ของความเสียหาย จากเงินจํานวน 1,958,600,000 บาท คิดเป็นเงินที่ต้องรับผิด 587,580,000 บาท และเมื่อความรับผิดอันเกิดจากการกระทําละเมิดของนายสมัครต่อผู้ฟ้องคดีเป็นความรับผิดเกี่ยวกับ ทรัพย์สินเป็นเงิน มิใช่ความรับผิดซึ่งตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัว ของนายสมัครผู้ตายโดยแท้ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสมัคร จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 587,580,000 บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน...”
ทายาทโดยธรรมตามที่ศาลปกครองพิพากษาชี้ขาด คือ คู่สมรส กับลูกสาวอีกสองคนของนายสมัครนั่นเอง
ถือเป็นบทสรุป ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจเกี่ยวกับคดีสั่งซื้อรถและเรือดับเพลิง
คดีนี้ ก็คล้ายๆ คดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 3.5 หมื่นล้านบาทนั่นเอง เพียงแต่ว่ากรณียิ่งลักษณ์ ศาลปกครองพิพากษายกคำร้อง ยิ่งลักษณ์ไม่ต้องจ่าย แต่ขณะนี้คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
2. มหากาพย์ทุจริตรถและเรือดับเพลิง กทม. เป็นอย่างไร?
การทุจริตรถและเรือดับเพลิง กทม. เกิดในยุคระบอบทักษิณครองเมือง รัฐมนตรีในรัฐบาล ร่วมกับผู้บริหาร กทม.ในขณะนั้น ช่วงปี 2547
ลงนามซื้อในวันที่ 27 ส.ค.2547 โดยนายสมัคร สุนทรเวช ขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าราชการ กทม. เป็นวันสุดท้าย และต้องรักษาการผู้ว่าฯกทม. รอผู้ว่าฯคนใหม่ที่กำลังจะเลือกตั้งกันในอีกไม่กี่วัน
แม้พยายามอ้างว่าการจัดซื้อในโครงการนี้เป็นลักษณะรัฐต่อรัฐ และได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรีย แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น การกำหนดวิธีการจัดซื้อในลักษณะรัฐต่อรัฐเป็นไปเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องประกวดราคากับบริษัทอื่นๆ ซึ่งเป็นระเบียบการจัดซื้อ โดยปกติ การหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับบริษัทอื่น ถือเป็นการกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นไม่ให้เข้าแข่งขันอย่างเป็นธรรม
เข้าทำนองเดียวกับขายข้าวจีทูจีเก๊นั่นเอง
คดีทุจริตรถและเรือดับเพลิง กทม. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาชี้ขาดลงโทษผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว ปรากฏพฤติการณ์และหลักฐานการกระทำผิดชัดเจน คดีหมายเลขแดงที่ อม.7/2556
พิพากษาจำคุก นายประชา 12 ปี และพล.ต.ต.อธิลักษณ์10 ปี
ยกฟ้อง นายโภคิน นายวัฒนา และนายอภิรักษ์ (อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์เข้ามาหลังนายสมัครพ้นตำแหน่งไปแล้ว)
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า เมื่อประมาณเดือนมิ.ย. 2546 เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยได้เสนอให้มีการจัดซื้อสินค้าในลักษณะรัฐต่อรัฐ โดยมีการเสนอช่วยหาแหล่งทุนในการจัดซื้อให้ด้วย และให้มีการจัดซื้อสินค้าต่างตอบแทนระหว่าง 2 ประเทศในแบบเต็มจำนวนร้อยต่อร้อย โดยมีการเสนอให้ซื้ออุปกรณ์และครุภัณฑ์รถและเรือดับเพลิงผ่านบริษัทสไตเออร์ มูลค่า 156 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทย 6,687,489,000 บาท โดยให้มีการทำข้อตกลงที่มีภาระผูกพันระหว่างคู่สัญญา ขณะที่ได้ความจากพยานโจทก์ระบุว่าโครงการฯ จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หลังจากที่ครม.มีมติแล้ว 60% โดยกทม.ออกเองอีก 40% จึงเท่ากับว่างบประมาณในโครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามที่มีการเสนอไว้ว่าออสเตรียจะช่วยหาแหล่งทุน ขณะที่ลักษณะของการจัดซื้อสินค้าเกษตรลักษณะต่างตอบแทนตามข้อตกลง ก็ไม่ใช่การซื้อขายสินค้าการเกษตรนอกเหนือจากยอดปกติที่บริษัทเอกชนส่งออกไก่ต้มสุก
ยิ่งกว่านั้น ราคารถและเรือดับเพลิง เมื่อเทียบเคียงกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ได้เคยจัดซื้อสินค้าที่มีวัตถุประสงค์ใช้งานอย่างเดียวกัน โดยมีผู้ผลิตในประเทศ พบว่า ราคารถและเรือดับเพลิงที่กทม.ดำเนินโครงการนี้ด้วยวิธีพิเศษ ราคาสูงกว่า
โดยพยาน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้เปรียบเทียบราคาตามมาตรฐาน พบว่า เมื่อมีการพิจารณาราคาโดยรวมทั้งหมดแล้ว บริษัท STEYR ได้ผลประโยชน์ 2,192ล้านบาท (หรือคิดเป็น 48.77 เปอร์เซ็นต์)
โอกาสนี้ ขอเรียบเรียงสรุปเนื้อหาจากหนังสือ “เปิดแฟ้ม 10 คดีทุจริต บทเรียนราคาแพงของคนไทย ความจริงที่ต้องเปิดเผย” จัดทำโดยสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชน ทางด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิง ดังนี้
2.1 ความเสียหายจากการทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง
ประการแรก มูลค่าความเสียหายโครงการนี้ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,687,500,000 บาท
ต้นทุนของบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด คิดเป็น 4,495,300,000 บาท
เท่ากับว่า ผลประโยชน์ ที่บริษัท สไตเออร์ฯ ได้รับ คือ 2,192,200,000 บาท
สัดส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุนเท่ากับร้อยละ 48.77 ซึ่งสูงเกินราคาที่เป็นธรรมตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ
บริษัท สไตเออร์ฯ ว่าจ้าง บริษัท Smati Vehicle N.V. ของประเทศเบลเยียมเป็นผู้รับจ้างจัดหา ผลิต และประกอบรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย (ยกเว้นเรือดับเพลิง) ให้กับกรุงเทพมหานคร โดยได้รับค่าจ้างผลิตราว 28 ล้านยูโร หรือราว 1,400 ล้านบาท บริษัท สไตเออร์ฯจึงไม่ใช่ ผู้ผลิตและประกอบสินค้าเพื่อเสนอขายโดยตรง แต่เป็นเพียงนายหน้า และบริหารจัดการในการจัดหาสินค้าให้กับกรุงเทพมหานครเท่านั้น
ประการที่สอง ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดในการเร่งรีบจัดซื้อ ครุภัณฑ์เพื่อใช้ในการระงับและป้องกันอัคคีภัยของกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2526 สรุป งานบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานครว่าควรประกอบด้วย สถานีดับเพลิง 78 สถานีและรถดับเพลิง จำนวน 728 คัน กรุงเทพมหานครรับโอนสถานีดับเพลิงมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 35 สถานี จึงยังขาดสถานีดับเพลิงอยู่ 43 สถานี และขาดบุคลากรที่จะรองรับ การใช้รถดับเพลิง ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนซื้อรถและเรือดับเพลิง จำนวน 315 คัน เพราะการนำมาจอดทิ้งไว้จะชำรุดทรุดโทรมและอายุการใช้งานน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
โครงการจัดซื้อที่มีลักษณะขาดความเป็นธรรมในการแข่งขันประกวดราคา หรือที่เรียกว่า “ฮั้วประมูล” ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง กับการจัดซื้อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบจากผู้เสนอราคาได้ และในกรณีนี้ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนในการทำความผิดด้วยการละเว้นไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ อันส่งผลให้ความเสียหายซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น
2.2 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหาที่มีมติชี้มูลทางอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ รวม6 ราย ประกอบด้วย
“1.นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 2.นายประชา มาลีนนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 3.นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 4.พลตำรวจตรีอธิลักษณ์ ตันชูเกียรติผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร 5.บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียลฟาห์รซอยก์ จำกัด 6.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (เฉพาะ ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ) ทั้งนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จึงไม่ถูกยื่นฟ้อง”
2.3 พลตำรวจตรี อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผอ.สํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พลตำรวจตรี อธิลักษณ์ เป็นผู้เริ่มติดต่อกับบริษัทบริษัท สไตเออร์ฯ ตั้งแต่รับราชการที่กองบังคับการตำรวจดับเพลิงเมื่อปลายปี พ.ศ.2545 และเกี่ยวข้องกับโครงการนี้เมื่อมีแผนการถ่ายโอนกองบังคับการ ตำรวจดับเพลิงไปสังกัดกรุงเทพมหานคร และยังเป็นผู้พาตัวแทนบริษัท บริษัทสไตเออร์ฯไปพบนายประชา มาลีนนท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลงานของกรุงเทพ มหานครเพื่อให้ช่วยผลักดันการขายรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ตลอดจนอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของบริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อ สตช.ถ่ายโอนงานดับเพลิงไปให้กรุงเทพมหานครแล้ว พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ก็ขอย้ายตามไปเพื่อผลักดันจนการจัดซื้อนี้เกิดขึ้น ทั้งนี้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ได้จัดทำบันทึกโครงการพัฒนาระบบริหาร และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสำนักป้องกันฯ เสนอไปยังนายประชา มาลีนนท์ ตามที่เคยติดต่อไว้
ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่า พลตำรวจตรีอธิลักษณ์ตันชูเกียรติ มีความผิด ให้จำคุก 10 ปี เจ้าตัวหลบหนี ศาลออกหมายจับ
2.4 นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย (รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร)
หลังจาก พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ พาผู้แทนบริษัทสไตเออร์ฯ เข้าพบนายประชา มาลีนนท์ แล้วนายประชา มาลีนนท์ ก็ได้ดำเนินการผลักดันให้มีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง รวมทั้งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยจากบริษัท สไตเออร์ฯ และยังเดินทางไปดูงานการผลิตรถดับเพลิงตามคำเชิญของ บริษัทสไตเออร์ฯ ที่สาธารณรัฐออสเตรีย และราชอาณาจักรเบลเยียม ต่อมา ยังได้สั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขบันทึกของ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา อีกทั้งพยายามเร่งรัดให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธินเปิด L/C ให้กับบริษัท สไตเออร์ฯ ทั้งที่นายอภิรักษ์เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการฯต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช
ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่า นายประชา มาลีนนท์ จำเลยที่ 2 มีความผิด ให้จำคุก 12 ปี
จนบัดนี้ เจ้าตัวยังหลบหนี ศาลออกหมายจับ
สรุป กรณีถือเป็นอุทาหรณ์เตือนสตินักการเมืองเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกรรมของการทุจริตประพฤติมิชอบ จะตกแก่ตนเองและผู้สืบทายาทด้วย
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี