ฝ่ายโลกเสรี ที่มีการเมืองการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย ยึดมั่นในระบบทุนนิยม หรือเศรษฐกิจการตลาดเสรีที่มีภาคเอกชนเป็นฐานและหัวหาด อันประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป27 ประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นสมาชิกองค์การนาโตที่เป็นองค์การร่วมมือทางด้านความมั่นคงและกิจการทหารคาบมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ(ระหว่างอเมริกาเหนือ กับยุโรปตะวันตก) อีกด้วยนอกจากนั้นกลุ่มนี้ก็มี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งโดยรวมก็จัดได้ว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตยที่ไม่เอาด้วยกับระบบการเมืองการปกครองแบบพรรคเดียว หรือกลุ่มคน บุคคล เล็กๆ ปกครองประเทศแบบเผด็จการ อย่างจีน และรัสเซีย หรือใช้ระบบศาสนาครอบงำประเทศแบบอิหร่าน เป็นต้น
แต่จากการที่จีนได้ก้าวผงาดขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจ ทั้งทางด้านทหาร ความมั่นคง เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะช่วงของผู้นำยุคปัจจุบัน เป็นเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้) ส่งผลให้จีนมุ่งมั่นที่จะขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง หรือเจ้าโลก เพื่อเทียบรัศมี แข่งขัน และเอาชนะ กับสหรัฐอเมริกา ผู้ครองตำแหน่งเจ้าโลกในปัจจุบัน โดยจีนได้แสดงพละกำลังและขยายอิทธิพลให้เป็นที่ประจักษ์ต่อโลก เช่น การประกาศเขตอาณาบริเวณจีนตอนใต้เป็นของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว และดำเนินการถมหมู่เกาะเล็กใหญ่ ให้เป็นฐานทัพทหาร รวมทั้งดำเนินการซ้อมรบ และการลาดตระเวนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องในภูมิภาคมหาสมุทรแปซิฟิกฟากตะวันตก ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากประเทศโดยรอบ อีกทั้งได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะรวมไต้หวันให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนให้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งในขณะเดียวกันจีนยังได้ตั้งธนาคารและกองทุนเพื่อการร่วมมือระหว่างประเทศ และประกาศนโยบายเส้นทางสายไหมในยุคใหม่ภายใต้ชื่อ One belt One road หรือ Belt and Road Initiative ที่ครอบคลุมทั้งเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อเชื่อมโยงจีนและภูมิภาคเอเชียไปยังแอฟริกาและยุโรป โดยมีกิจการที่สำคัญๆ คือการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างทวีป ทั้งทางด้านถนนหนทาง ทางรถไฟ ท่อส่งพลังงานธรรมชาติระบบโทรคมนาคมทั้งบนบกและทางทะเล ไปจนถึงการก่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ โดยเฉพาะรอบๆ มหาสมุทรอินเดียที่มีนัยของทวิภารกิจ (Dual purpose) คือใช้ได้ทั้งการพาณิชย์และกิจการทหาร
ขณะที่จีนได้แพร่ขยายอิทธิพลมากขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์รูปแบบการพัฒนาประเทศด้วยระบบพรรคเดียวนำพา กับระบบเศรษฐกิจการตลาด ที่มีใจความว่า สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า และมากกว่าระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีหลายพรรคการเมืองแข่งขันกัน เพราะแบบหลังมักจะนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และความเหลื่อมล้ำในสังคม
ฉะนั้น อาจกล่าวสรุปได้ว่า จีน กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น ในการประกาศศักดา และความสำเร็จของตนรวมทั้งมุ่งลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายโลกเสรี ซึ่งจีนก็ดูประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่ฝ่ายโลกเสรีดูอ่อนแรง ขาดทิศทางร่วมกัน ไม่มีข้อเสนออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นรูปเป็นร่าง เสมือนว่ายังตั้งตัวกันมิได้ เพราะต่างต้องสาละวนอยู่กับกิจการภายในของตน ด้วยไม่ได้คาดคิดว่าจีนจะประสบความสำเร็จถึงปานนี้
แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายโลกเสรีก็เริ่มขยับตัวโดยเฉพาะถูกกระตุ้นให้ตื่นจากภวังค์จากการที่รัสเซียบุกยูเครน และทำการกระชับความร่วมมือกับจีนไปพร้อมๆ กัน นั่นจึงทำให้ฝ่ายโลกเสรีคิดตรงเห็นกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องต่อกรกับระบบเผด็จการของจีน และรัสเซีย เสียที
ในการนี้โลกจึงได้เห็นการกระชับความร่วมมือของบรรดาประเทศประชาธิปไตยที่เป็นประเทศพัฒนาแล้วดังกล่าว เช่น การกระชับความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคงและทางทหารแบบทวิภาคี ระหว่างสหรัฐฯกับประเทศพันธมิตรทั้งหลาย การฟื้นฟูความร่วมมือ4 เส้า ระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย(QUAD) การกระชับความร่วมมือ 3 เส้า ระหว่างสหรัฐฯออสเตรเลีย และอังกฤษ (AUKUS) และล่าสุดการกระชับความร่วมมือในกรอบของนาโต โดยการเพิ่มงบประมาณปรับปรุงแสนยานุภาพ เพิ่มกำลังทหารส่วนกลางจากประมาณ 60,000 คน ในปัจจุบันไปจนถึง 300,000 คน ในระยะเวลาอันใกล้ และการมีถ้อยแถลงออกมาแน่ชัดว่า ศัตรูผู้คุกคามขององค์การนาโตและประเทศสมาชิกก็คือ รัสเซีย อีกทั้งก็ได้มีการรับสมาชิกใหม่เข้ามาอีก 2 ประเทศ ที่เคยเป็นประเทศเป็นกลาง อันได้แก่ สวีเดน และฟินแลนด์ ที่มีสมรรถนะทางด้านการทหาร และอุตสาหกรรมทางการทหารที่ไม่เป็นรองใคร สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้องค์การนาโตมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพิ่มการโอบล้อมรัสเซีย โดยเฉพาะในบริเวณทะเลขั้วโลก ทะเลบอลติกและทะเลเหนือ
นอกจากนั้น ทั้งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ และล่าสุด คือ สหภาพยุโรปโดยองค์รวม ต่างก็ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดเกี่ยวกับภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก (Indo-Pacific) และต่างก็ได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เบื้องต้นกันออกมา ที่จะประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพในการเดินเรือ และเครื่องบินพาณิชย์และการป้องกันความมั่นคงปลอดภัย ไปจนถึงการส่งเสริมสังคมเสรีประชาธิปไตย และการรักษาทะนุบำรุงสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งมีนัยว่าเป็นการป้องปรามมิให้จีนใช้มาตรการฝ่ายเดียวในการคุกคามภูมิภาค
ล่าสุดในการประชุมกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 7 ประเทศ (G7 หรือ Group of 7) อันได้แก่ สหรัฐฯแคนาดา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และญี่ปุ่น ที่นครมิวนิก เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้ก็ได้มีมติออกมาที่กำหนดให้มีการตั้งวงเงินแปดแสนล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อการเป็นหุ้นส่วนทางด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทั่วโลก เพื่อสู้กับโครงการ Road and Belt ของจีนดังกล่าว
ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายประเทศพัฒนาแล้ว หรือฝ่ายโลกประชาธิปไตยเสรี ได้แสดงเจตจำนง และเตรียมความพร้อมที่จะแข่งขันกับจีนในทุกแขนงกิจการ และพร้อมที่จะต่อต้านการคุกคามความมั่นคงของรัสเซีย โดยโลกเสรีจะไม่ปล่อยให้ประเทศทั้ง 2 มีมาตรการฝ่ายเดียวอีกต่อไปในการคุกคามเสถียรภาพ ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าของฝ่ายโลกเสรีอีกต่อไป ซึ่งท้ายสุดแล้วจะจบลงด้วยสงครามเย็นครั้งที่สอง หรือจะบานปลายไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 เราในฐานะชาวโลกก็คงต้องเตรียมตัว และเตรียมใจที่จะรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี