ผมเห็นด้วยกับคุณ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่โพสต์เฟซบุ๊คว่า “สส.บัญชีรายชื่อ หารด้วย 500 หรือ 100 อะไรดีกว่ากัน? เมื่อโจทย์ผิด คำตอบก็ผิด”
โดยคุณนิพิฏฐ์ให้รายละเอียดว่า...
“ส่วนใหญ่แล้ว จะตั้งคำถามแบบนี้ ว่า อะไรดีกว่า หรือเหมาะสมกว่า บางคนเลยไปถึงขนาดว่า ชอบแบบไหน มากกว่าการตั้งคำถามแบบนี้ จะได้คำตอบที่ผิด เหมือนโจทย์ผิด คำตอบก็ผิด
...แล้วควรถามว่าอย่างไร?
...ที่ถูกแล้วควรถามว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าอย่างไร เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างไร รัฐสภาก็ต้องออกกฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมา
เสียงข้างมาก (ซึ่งคือฝ่ายรัฐบาลนั่นแหละ) มีความเห็นมาตลอดว่า ต้องหารด้วย 100 ไม่อย่างนั้นจะขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่ในวันสุดท้าย เสียงข้างมาก (ก็เสียงรัฐบาลอีกนั่นแหละ) กลับมติของตัวเอง ให้หารด้วย 500
...เรื่องนี้ ป่วยการที่จะเถียงกันว่า ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ต้องไปอ่านรัฐธรรมนูญ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1) มาตรา 83, 86 และ 91 หากยังไม่เข้าใจก็ไปอ่าน “เหตุผล” ท้ายการแก้ไข เพราะก.ม.ทุกฉบับ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ จะระบุเหตุผลในการแก้ไขไว้ตอนท้ายของกฎหมายทั้งสิ้น
...เราควรจะซื่อตรงต่อกฎหมาย และซื่อตรงต่อตนเอง
...ครั้งหนึ่ง ตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องวาระของ สว. ผมเคยต่อสู้และกล่าวหารัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “เผด็จการเสียงข้างมาก” และผมนำเรื่องการแก้ไขไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์แก้ รธน.ไม่ได้ การแก้ไขจึงตกไป
...ครั้นมาถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่วิปรัฐบาลกลับมติของตนเอง จะให้ผมเรียกอย่างไรล่ะครับ ก็ต้องเรียกว่า “เผด็จการเสียงข้างมาก” เหมือนที่เคยเรียกรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นแหละ นี่แหละครับ อำนาจถ้าไม่ประกอบด้วยธรรม สุดท้ายมันก็จะทำให้คนหลง มัวเมา เห็นผิดเป็นชอบไปได้ทั้งนั้น อันตรายครับ” นายนิพิฏฐ์กล่าว
เมื่อ “ได้หลัก” จากการโพสต์ของนายนิพิฏฐ์แล้ว สิ่งที่ต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ (ค.ว.ย.) และเห็นกระบวนการที่จะตามมากันต่อ มีหลายเรื่อง คือ
1) เรื่องนี้ จะถูก “ตีความ” และ “ปั่น” ให้เป็นเรื่องของการพยายามแก้กติกาให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ทั้งโดยพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคอื่นๆ เฉพาะพรรคก้าวไกลนี่ตลกหน่อย ตรงที่มีถึง 47 คน ที่โหวตเห็นด้วยกับการหาร 500 แต่ทำตีหน้าซื่อ แถลงการณ์เป็นวรรคเป็นเวรเรื่อง “เผด็จการเสียงข้างมาก” ขณะที่ซีกรัฐบาล การเปลี่ยนจากหารด้วย 100 มาเป็นหารด้วย 500 คือภาพสะท้อนของ “คนไม่มีหลัก” นอกจากยึดหลัก “ฉกฉวยความได้เปรียบ” หรือ “ทำให้คู่ต่อสู้เสียเปรียบ” เท่านั้น ตรงนี้อาจกลายเป็นการสร้างความรังเกียจให้แก่ฝ่ายตัวเอง และสร้างคะแนนสงสารให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้
2) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย โพสต์เฟซบุ๊คว่า “หาร 500 ใครได้ประโยชน์” มีเนื้อหาว่า
สูตรการคำนวณ จำนวน สส.บัญชีรายชื่อในระบบจัดสรรปันส่วนผสม หรือ MMP. ได้รับความเห็นชอบในวาระที่สอง ของการประชุมร่วมของรัฐสภา ด้วยคะแนนเสียง 354 ต่อ 162 งดออกเสียง 37 และไม่ลงคะแนน 4 เสียง
1. ภายใต้ระบบนี้ พรรคที่ชนะในระบบเขตมาก จะได้ บัญชีรายชื่อน้อยลง ส่วนพรรคที่แพ้เลือกตั้งในระบบเขต หากมีคะแนนนิยมในบัตรใบที่สองมาก จะได้รับการจัดสรร สส. ในระบบบัญชีรายชื่อมาก
2. พรรคก้าวไกล อาจเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้มากที่สุด โดยอาจมี สส.บัญชีรายชื่อได้ถึง 30 คน
3.พรรคเพื่อไทย แม้ว่าจะได้บัญชีรายชื่อน้อยลง แต่จะไม่ถึงขนาดเป็นศูนย์ เพราะคราวก่อนเป็นระบบบัตรใบเดียว และพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครเพียง 2 ใน 3 ของจำนวนเขตทั้งหมด หากคราวนี้ส่งลงครบ 400 เขต น่าจะมี สส.บัญชีรายชื่อได้จำนวนหนึ่ง
4.พรรคจิ๋ว อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้อานิสงส์จากระบบนี้เนื่องจากเค้กก้อนเล็กลง ดังนั้น แม้คะแนนเฉลี่ยเบื้องต้นคือ ประมาณ 70,000 คะแนน แต่การคำนวณ จำนวน สส.บัญชีรายชื่อจากทุกพรรคในรอบแรก จะเกินจำนวน 100 คน ดังนั้นต้องใช้บัญญัติไตรยางศ์ เพื่อปรับให้ลงมาเป็นร้อยคน คะแนนต่ำสุดจึงอาจสูงขึ้น โดยอาจต้องมี คะแนนเสียง 100,000 เสียง จึงจะได้ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
5. พรรครัฐบาล มีเวลาเหลืออีกราว 6-8 เดือน ในการสร้างคะแนนนิยมให้สูงขึ้น หากคะแนนนิยมดีขึ้นกลายเป็นพรรคใหญ่ อย่าหาเรื่องกลับไปสูตรหาร 100
อีกล่ะ คุณลุง
3) อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงไม่จบเพียงมติของที่ประชุม แต่จะต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยที่ว่า “พรรคเพื่อไทยจึงขอแถลงให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนได้ทราบถึงการใช้เสียงข้างมากกระทำการตามอำเภอใจ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ และพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นร่างมาตรา 128 ขัดรัฐธรรมนูญต่อไป และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายเหล่านี้”
กระนั้นก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ควร “มียางอาย” ด้วยว่าสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พรรคเพื่อไทยกุมเสียงข้างมากในสภา ก็ได้ “ใช้เสียงข้างมากกระทำการตามอำเภอใจ” ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งผิดทั้งหลักนิติรัฐหลักนิติธรรม และเอาชีวิตคนเสื้อแดง ทหาร ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ไปเป็นเครื่องสังเวย เพียงเพื่อจะช่วย “แกนนำ” ให้รอดพ้นคดีทั้งปวง และซุกการนิรโทษกรรม “คดีทุจริต” ซึ่งประโยชน์ตกอยู่แก่นายทักษิณ ชินวัตร ตรงๆ และเต็มๆ ซึ่งนับว่า “เลวระยำ” อย่างยิ่งยวด
4) ภาระเรื่องนี้ จะไปตกอยู่แก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครับ ในสภาที่ผู้คนแตกแยกและยึดเอาพวกตนเป็นหลัก “หลักกู” คือ “หลักการ” ที่ยิ่งใหญ่สุด ยากเหลือเกินที่คำวินิจฉัยของศาลจะไม่ถูกโจมตี สมมุติว่าศาลวินิจฉัยว่า การหารด้วย 500 ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องหารด้วย 100 พรรคเพื่อไทยคงชอบใจ พรรคก้าวไกลยังไม่ทราบว่าจะแสดงออกอย่างไร เพราะก็กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลาที่โหวต หากศาลวินิจฉัยว่า หารด้วย 500 ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พลพรรคของเพื่อไทยกับก้าวไกลจะ “ออกอาการ” อย่างไร โลกออนไลน์จะระอุขนาดไหน ต้องติดตาม
5) สำหรับซีกรัฐบาล มีคนมองว่า อาจทราบอยู่แล้วว่าต้องหารด้วย 100 แต่เพราะ “พรรคเล็ก” กดดันหนัก และจับการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นตัวประกัน เลยต้องกลับทิศ หันมาชูการหารด้วย 500 ทั้งๆ ที่อาจรู้ว่า ในที่สุด ศาลก็จะต้องชี้ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่กว่าจะถึงจุดนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจและการลงมติก็ผ่านพ้นไปแล้วเรียกว่าเป็นเกม “ซื้อเวลา” นั่นเอง นี่ก็เป็นสมมุติฐานหนึ่งที่น่าสนใจ
6) คิดแบบวิญญูชนทั่วไป เมื่อหันมาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่งเลือก สส.เขต ในแต่ละเขตใครได้คะแนนสูงสุดก็ชนะไป อีกใบเลือก สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นการเลือกพรรคประชาชนอยากให้คะแนนพรรคไหนเขาก็ใส่ให้พรรคนั้น โดยที่รู้อยู่แล้วว่า บัตรใบนี้เลือก สส.อีก 100 คนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ สส.เขต 400 คนที่เลือกไปแล้ว บัตรลงคะแนนระบบบัญชีรายชื่อจึงควรหารด้วย 100 ก็จบ ไม่เห็นต้องมีอะไรซับซ้อนเลย แต่เอาเถอะ ความซับซ้อนนี้และการหาข้อยุติ รวมถึงการให้เหตุผลประกอบข้อยุติ คือ ภาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วครับ
7) ส่วนทางออกของพรรคการเมืองที่ว่ากันว่า เป็น “เป้าหมาย” ของการหันมาหารด้วย 500 เพื่อขจัดโอกาส “แลนด์สไลด์” ได้แก่ “พรรคเพื่อไทย” จะหาทางออกอย่างไรนอกจากยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว นพ.ชลน่าน ศรีแก้วหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐสภามีมติใช้สูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อหาร 500 ว่า ไม่รู้สึกกังวลอะไรเพราะมีหลายวิธีการ ซึ่งเพื่อไทยอาจจะตัดสินใจตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยขึ้นใหม่ หรือที่หลายฝ่ายเรียกว่าแตกแบงก์พัน ให้พรรคครอบครัวเพื่อไทยส่ง บัญชีรายชื่ออย่างเดียว แล้วพรรคเพื่อไทยส่งเขตอย่างเดียว
“เพราะหากพรรคครอบครัวเพื่อไทย ได้จำนวนเสียงเกิน 15 ล้านเสียงก็จะทำให้ได้ สส.พึงมีได้ถึง 214 เสียง แต่ต้องมาคำนวณหาสัดส่วน สส.พึงมี ให้ได้เท่ากับ 100 คนของ สส.บัญชีรายชื่อ เช่นเดียวกับปี 2562 ซึ่งจะทำให้พรรคครอบครัวเพื่อไทย ได้ สส.บัญชีรายชื่อเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด”
ส่วนการตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทยขึ้นมาใหม่ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมือง และการตอบรับของประชาชน และโพลล์ที่พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมมาเป็นอันดับ 1 ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะนำมาประกอบการพิจารณา แต่ต้องประเมินเชิงลึกเป็นรายพื้นที่ระดับเขต ถ้าอยากได้ 15 ล้านเสียง ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 35,000 เสียงต่อเขต ซึ่งหากทำได้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ในทางกลับกันถ้าเป็นพรรคครอบครัวเพื่อไทย ที่ส่งแต่บัญชีรายชื่อ ก็ไม่จำเป็นต้องได้ถึง 15 ล้านเสียง
อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าว ยังไม่มีการคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่หลังรัฐสภามีมติใช้สูตรหาร 500 สส. ของพรรคมีความเห็นด้วย ซึ่งมั่นใจว่า หากใช้วิธีการดังกล่าว มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคครอบครัวเพื่อไทย จะได้ สส. เกินกึ่งหนึ่ง
8) คำถามสุดท้ายของเรื่องนี้คือ หากในที่สุด ยังต้องหารด้วย 500 จะหยุดยั้งโอกาสชนะของพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ ซีกรัฐบาลปัจจุบัน จะยังจับมือกัน
“ตั้งรัฐบาล” ต่อ หลังการเลือกตั้งรอบหน้าหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ “น่าคิด” มากครับ
1.คราวที่แล้ว เครือข่ายของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นระบบมหาดไทย, กองทัพ และกติกาที่กำหนดไว้ ครอบคลุมทั่วประเทศไทย พรรคพลังประชารัฐยังได้จำนวน สส. รองจากพรรคเพื่อไทยเลย เพียงแต่ว่า พรรคเพื่อไทยไม่สามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคพลังประชารัฐรวมได้ จึงได้เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล
2.คราวนี้ ความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เหมือนเดิม เท่าเดิม อิทธิพลของ คสช. ในลักษณะ “พ่อของทุกสถาบัน” ก็ไม่เท่าเก่า จะมีกำลังทหารไปนั่งเฝ้าบ้านของใครต่อใครอีกไหม พวกมีคดีติดตัว จะยังต้องยอมซูฮกให้เหมือนครั้งก่อนหรือเปล่า เฉพาะประเด็นนี้ ผู้สันทัดกรณีบอกให้ลองจับตาดู “กำแพงเพชร” ที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งไปถือหวีกล้วยไข่ถ่ายรูป ว่ากลุ่มของ “วราเทพ รัตนากร”จะยังอยู่กับพลังประชารัฐ หรือจะกลับไปหาทักษิณ
3.ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานแบบ “แยกตัว” ออกจากพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคพลังประชารัฐจะหาเสียงยังไง ด้วยนโยบายอะไร นายกฯ จะยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ไหม มีชื่อเดียว หรือมีชื่ออื่นประกบด้วย คะแนนนิยมของลุงตู่จะยังโอบอุ้มผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐที่ไม่ใช่พวก “บ้านใหญ่” ไหวไหม นั่นคือคำถามว่า พรรคพลังประชารัฐยังจะได้จำนวน สส.เท่าเดิมจริงหรือ ไม่ต้องพูดถึงโอกาส “ได้เพิ่ม” แถมจำนวนหนึ่งก็ย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ของผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า ไปแล้วด้วย ไม่มีว่า เมื่อใกล้เลือกตั้ง จะมีย้ายออกไปสมทบอีกมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้าลุงตู่ไม่อยู่กับพลังประชารัฐแล้ว พรรคนี้จะอยู่ในสภาพใด
4.พรรคที่เสถียรที่สุดในซีกรัฐบาลปัจจุบัน คือพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคเดียวที่มีโอกาส “โตขึ้น” ถึงขั้นพลิกขึ้นมาเป็น “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” ได้เลยเชียวล่ะ ไม่มีเรตติ้งในโพลล์แต่เหนียวแน่นในพื้นที่ มี สส.จากพรรคต่างๆ ย้ายเข้าไปสมทบอีกมาก ภูมิใจไทยจึงเป็นพรรคที่จำนวน สส.ไม่ลดลงจากเดิมแน่ มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพียงแต่จะเพิ่มขึ้นได้ถึงจำนวนเท่าไหร่ ชนะพลังประชารัฐ จนพลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ต้องคอยติดตาม
5.ประชาธิปัตย์ อยู่ในสภาพวิกฤตศรัทธา โดยเฉพาะกับตัวบุคคล คำถามคือ รอบหน้า พรรคจะชูหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ ใช่ไหม แล้วจะได้คะแนนจากใคร? นโยบายที่จะขาย คือ ประกันรายได้? ถ้าต้องเป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาล พรรครัฐบาลเขาจะยังให้ทำอยู่ไหม ด้วยจำนวนเงินมหาศาลที่จะต้องใช้กับระบบดังกล่าว ทีมเศรษฐกิจล่ะ ว้าวไหม? ถึงที่สุด ก็ยังหา “จุดขาย” ของประชาธิปัตย์ไม่พบเลย ยิ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา อยู่ในสภาพ พรรคในรักแร้รัฐบาล ยอมยิ่งกว่า “อีเย็น” ในละคร นางทาส” ประชาธิปัตย์รอบนี้จึงต้องชนะด้วย สส.เขต ซึ่งพื้นที่ที่แข็งที่สุดคือภาคใต้ ทั้งเลขาพรรค คือ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน และรองนายกฯนายเดชอิศม์ ขาวทอง ปักหลักสู้อย่างเข้มแข็ง แต่ “ภูมิใจไทย”ก็ลุยแหลก พรรคพลังประชารัฐก็เข้าช่วงชิง สุดท้าย “ตาอยู่”จะชุบมือเปิบได้ไปหรือเปล่า ก็น่าคิด
6.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์จะเจอปัญหาเหมือนตอนเลือก สก. คือ ผู้สมัครจาก “พรรคกล้า” ตัดคะแนน จนแพ้ แพ้แบบแพ้ทั้งคู่ด้วยนะครับ หลายพื้นที่ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลเอาไปกินสบายๆ
7.เมื่อดูภาพรวมแล้ว พลังประชารัฐไม่มีโอกาสมี สส.เพิ่ม ภูมิใจไทยมี สส.เพิ่มแน่ ประชาธิปัตย์ยังก้ำกึ่ง ถ้าสามพรรคนี้คุยกันดีๆ สับหลีกกันดีๆ เอา สส.เขตให้แน่นอนก่อน อย่ามัวเสียดาย สส.ระบบบัญชีรายชื่อ โอกาสที่จะเสียท่าให้ “ตาอยู่” ก็ลดน้อยลง อยู่ที่จะตกลงกันได้หรือไม่เท่านั้นเอง
8.ถึงกระนั้นก็ตาม พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา (อาจต้องรวมพรรคผู้กองธรรมนัส,พรรคคุณหญิงหน่อย, พรรคสร้างอนาคตไทยของอุตตมสนธิรัตน์ สมคิด, พรรคกล้าของกรณ์ จาติกวณิช ด้วย)จะต้องได้ สส.เกินกึ่งหนึ่งของสภา ก่อนเป็นอันดับแรกจึงจะเป็นรัฐบาล (ที่มั่นคงและชอบธรรม) ได้ หากพรรคเพื่อไทย + พรรคก้าวไกล + พรรคเสรีรวมไทย ได้ สส.เกินครึ่ง หรือเอาพรรคธรรมนัส พรรคคุณหญิงหน่อย พรรคอุตตม สนธิรัตน์ ไปรวมกันได้อีก เกินครึ่งหนักเข้าไปอีก การพลิกสถานการณ์มาหาร 500 ก็ไม่ช่วยอะไร เป็นแค่แทคติกทางกติกา แต่ว่าไม่ไปเปลี่ยน “คะแนนนิยม”
สรุป : พรรคซีกรัฐบาลปัจจุบัน ต้องพลิกสถานการณ์เรื่อง “คะแนนนิยม” ให้ได้ด้วย ลำพังการเอาชนะด้วยกติกา จะอยู่ในสภาพชนะแบบมีปัญหา มีข้อกล่าวหา แล้วปัญหาโดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในชาติบ้านเมืองจะยังคงอยู่ และจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปจนสุดจะคาดเดาได้ ดังนั้น จงเร่งสร้างความน่านิยม น่าเชื่อถือ และน่าฝากความหวังเอาไว้ให้ทันก่อนวันเลือกตั้งจะมาถึงกันเถอะครับ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี