คนไทยได้ยินคำโฆษณาชวนเชื่อจากรัฐบาลชุดต่างๆ มาเป็นประจำว่า จะทำให้คนไทยไร้หนี้ คนจนจะหมดไปจากประเทศไทย
แต่ทว่าคำโกหกดังกล่าวของรัฐบาลก็คือคำโกหก และยังไม่เคยมีรัฐบาลใดสามารถแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนได้อย่างจริงๆ จังๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลทำก็คือพยายามแก้ปัญหาหนี้สิน พร้อมๆ กับการป้อนคำหวาน (คำโกหก) ให้ประชาชนเป็นระยะๆ ว่าจะทำให้คนไทยไร้หนี้
ก่อนอื่นต้องบอกว่าปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของสังคม (ทุกสังคม) แต่ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาวิกฤต หากผู้มีหนี้สินสามารถชำระหนี้ได้ แต่ในมุมตรงข้าม ปัญหานี้จะกลายเป็นวิกฤตทันที ในกรณีที่ผู้มีหนี้สินไม่มีความสามารถชำระหนี้ที่ก่อขึ้นมาได้ ตามปกติหากผู้เป็นหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามที่กำหนดว่าจะชำระเป็นงวดๆ ได้ โดยขาดการชำระติดต่อกัน 90 วัน ก็จะถือว่าเกิดสภาวะหนี้เสีย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าหนี้สินครัวเรือนของคนไทย ช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 มีมูลค่า 14.58 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.1 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาสำคัญคือความสามารถในการชำระหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีความเปราะบางเพราะมีรายได้น้อยมาก
และยังพบด้วยว่า ในปี 2564 มีจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น คิดเป็น 51.5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจาก 45.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2562 แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ รายได้ของครัวเรือนมีน้อยกว่าการขยายตัวของหนี้สินที่ครัวเรือนสร้างขึ้นใหม่
นั่นแสดงว่ารายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัว แม้จะดูเสมือนว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่เมื่อดูจำนวนชั่วโมงการทำงานแล้ว กลับพบว่ายังไม่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนจำนวนผู้เสมือนการว่างงานก็ยังคงมีจำนวนมาก ในขณะที่ต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพงขึ้น ทำให้ครัวเรือนที่มีหนี้สินไม่สามารถชำระหนี้คืนได้
รัฐบาลประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ปัญหาหนี้สินในครัวเรือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้ประจักษ์แล้วว่าปัญหาหนี้สินครัวเรือนคือปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย และเป็นปัญหาสำคัญที่หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขให้เบาบางหรือหมดไปได้ อาจจะทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจตามมาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีปัญหาที่น่าวิตกคือ ปัจจุบันคนไทยที่อายุน้อยกลับมีหนี้สินจำนวนค่อนข้างมาก พูดง่ายๆคือเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วพบด้วยว่าคนในกลุ่มวัยทำงาน ที่มีอายุ 25-35 ปี คือกลุ่มคนที่มีหนี้สินมากที่สุดและพบด้วยว่ากว่าครึ่งหนึ่งของคนอายุ 30 ปีก่อหนี้จากการใช้บัตรเครดิต และมีหนี้สินในสินค้ากลุ่มอุปโภค-บริโภคแต่ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือเมื่อมีอายุมากขึ้นก็มีมูลหนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ โดยพบว่าคนไทยอายุ 60-69 ปี มีหนี้สินเฉลี่ย 450,000 บาทต่อคน ส่วนคนอายุ 70-79 ปี มีหนี้สินเฉลี่ยต่อคนประมาณ 290,000 บาท
และยังพบปัญหาที่น่าหนักใจอีกประการคือมีปัญหาหนี้นอกระบบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีความต้องการใช้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้ พบว่ายิ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในครอบครัวที่มีความเปราะบางมากๆ ก็มักจะก่อหนี้จากการกู้ยืมเงินจากเงินกู้นอกระบบเป็นจำนวนมาก
หนี้สินจากบัตรเครดิตคือปัญหาสำคัญประการหนึ่งของสังคมไทย และพบด้วยว่ามีปัญหาหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าคนอายุน้อยก็เป็นหนี้บัตรเครดิตมากขึ้น และกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้นเช่นกัน ข้อมูลระบุว่า 1 ใน 3 ของหนี้เสียเกิดขึ้นกับคนอายุต่ำกว่า 35 ปี
อ้างอิงข้อมูลจากเครดิตบูโร พบว่าฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ปัจจุบันมีหนี้ครัวเรือน 12.4 ล้านล้านบาท มีลูกหนี้ 31 ล้านคน และพบว่าในจำนวนลูกหนี้ 100 คน มีหนี้เสีย 18 คน และเมื่อวิเคราะห์ลึกลงไปในกลุ่มคนอายุ 30-35 ปี พบว่าลูกหนี้ 100 คนในกลุ่มนี้ มีปัญหาหนี้เสียสูงถึง 24 คน
ที่น่าวิตกคือ ยิ่งเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ก็ยิ่งพบว่ามีปัญหาหนี้สินจำนวนค่อนข้างมาก โดยพบว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่าเดือนละ 15,000 บาท จำนวน 78 เปอร์เซ็นต์มีปัญหาหนี้สิน และพบด้วยว่าในจำนวนนี้ ร้อยละ 27.4 มีปัญหาหนี้สินในขั้นที่เรียกได้ว่าหนักมาก
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือปัญหาหนี้นอกระบบในกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าหาเช้ากินค่ำ พบว่ามีหนี้ครัวเรือนสูงเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP เพราะฉะนั้น คนกลุ่มนี้จึงเสี่ยงกับการตกเป็นเหยื่อของแก๊งทวงหนี้นอกระบบ ที่มักใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ เพื่อทวงหนี้ จนอาจนำไปสู่การก่อปัญหาอาชญากรรมในที่สุด เมื่อไม่สามารถติดตามทวงหนี้ได้
เมื่อแยกย่อยวิเคราะห์ว่าคนไทยเป็นหนี้ในด้านใดกันบ้าง ก็พบว่ามีดังนี้ คือ หนี้สินเพื่อการซื้อหาอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินจากการซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หนี้สินเพื่อการประกอบธุรกิจหนี้สินเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้สินจากบัตรเครดิต รวมถึงสินเชื่อจากการศึกษา และสินเชื่ออื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุวัตถุประสงค์ของการก่อสินเชื่อได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สินถือเป็นปัญหาที่สามารถแก้ได้ หากตั้งใจจะแก้อย่างจริงๆ จังๆ และไม่ก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไร้สติ การแก้ปัญหาหนี้สินที่ดีที่สุดคือต้องตั้งสติให้ดีก่อนเป็นอันดับแรก ต้องวิเคราะห์ให้ได้อย่างชัดเจนว่าเรามีหนี้เพราะอะไร และต้องพยายามดูให้ดีว่า เราจะพยายามลดรายจ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง การแก้ปัญหาหนี้สินที่ดีที่สุุดก็คือ อย่าพยายามสร้างหนี้ก้อนใหม่ เพื่อนำไปโปะหนี้ก้อนเก่า โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินนอกระบบเพื่อเอาไปชำระหนี้ก่อนเดิม เพราะหากยืมเงินจากเงินกู้นอกระบบแล้ว รับรองว่าไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างแน่นอน
การแก้ปัญหาหนี้สินที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือ หยุดสร้างหนี้เพิ่มเติม แล้วพยายามลดรายจ่ายลงให้ได้ แล้วเดินเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้แบบเปิดอกคุยกัน เพราะจะทำให้มีหนทางบรรเทาปัญหาหนี้สินได้ แต่ขอร้องเลยนะครับอย่าพูดแบบไร้ยางอายว่า ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เพราะการพูดเช่นนั้นเท่ากับบ่งบอกว่าเป็นคนไร้ความละอาย ก็ต้องถามกลับว่าแล้วใครเขาบังคับให้คุณไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเขาหรือ เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ อย่าใช้รูปแบบความหน้าหนา อย่าหนีหนี้ อย่าเหนียวหนี้ เพราะมันคือการประจานตัวเองว่าเป็นคนหน้าหนา
การแก้ปัญหาหนี้อีกประการหนึ่งที่ต้องกระทำคือ การแยกหนี้ชั้นดีกับหนี้ชั้นเลวออกจากกัน โดยต้องจัดการแก้ปัญหาหนี้ชั้นเลวก่อนเป็นอันดับหนึ่ง เพราะหนี้เลวคือหนี้ที่ทำให้เราเสีย ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก เราต้องกำจัดหนี้จำพวกนีัให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยไว้นานๆ เราจะเสียดอกเบี้ยมากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเปล่าประโยชน์
การกำจัดหนี้เลวมีวิธีการหนึ่งที่ทำแล้วได้ผลคือต้องตัดใจขายสินทรัพย์ที่เราไปกู้หนี้ซื้อมันมา เช่น สมมุติว่าเรากู้หนี้เลวไปซื้อรถยนต์ ก็ต้องขายรถยนต์แล้วนำเงินไปชำระหนี้เลวก่อน แล้วก็ต้องตั้งสติให้ดีว่า ก่อนจะก่อหนี้ใดๆ นั้น หนี้ที่เราจงใจก่อขึ้นนั้นมันเป็นผลดีหรือผลเสียกับชีวิตมากกว่ากัน เช่น ระหว่างซื้อบ้านกับซื้อรถยนต์ เราควรจะเป็นหนี้ซื้ออะไรมากกว่ากัน
เมื่อเราเริ่มชำระหนี้ได้บ้างแล้ว ก็หมายความว่าภาระหนี้สินของเราก็จะเบาบางลงไปกว่าเดิม ก็หมายความว่าความเครียดในชีวิตเพราะการเป็นหนี้ก็น่าจะลดลงไปได้บ้าง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือหาเงินเพิ่ม กับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
ถามว่าระหว่างหาเงินเพิ่ม เช่น หางานใหม่ที่ได้เงินเดือนมากกว่าเดิม หรือหางานเพิ่มเติม กับการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป อะไรทำได้ง่ายกว่ากัน ก็ตอบตรงๆ ว่าลดรายจ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นทำได้ง่ายกว่า เช่น ลดการดื่มกาแฟราคาแพงที่ตกแก้วละ 100 กว่าบาทลงไป เพียงเท่านี้ก็จะมีเงินเหลือในกระเป๋าวันละ 100 กว่าบาทแล้ว หรือหากจะอ้างว่าจำเป็นต้องดื่ม ก็ดื่มกาแฟที่มันราคาถูกลงมาได้หรือไม่ ดื่มกาแฟริมถนนที่ขายแค่แก้วละ 20-25 บาทได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นหนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าลดได้ ก็จะมีเงินเหลือในกระเป๋าอย่างน้อยวันละ 70-80 บาท
นอกจากนี้ก็ยังจะต้องหางานทำเพิ่มเติม เช่น งาน part time แต่การทำงานเพิ่มก็หมายถึงต้องเหนื่อยเพิ่มมากกว่าเดิม แต่ก็สมควรจะต้องเหนื่อย ใช่หรือไม่ เพราะเหนื่อยแล้วได้เงินเพิ่มขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ขอร้องเลยว่าอย่าทำก็คือการเอาสินทร้พย์จำพวกบ้านหรือคอนโดฯ ไปค้ำประกันเงินกู้ โดยหวังว่าจะเอาเงินกู้ก้อนใหม่ไปปิดเงินกู้ก้อนเก่า ขอให้สำเหนียกไว้ใจจงดีว่า การเอาสินทรัพย์แบบนี้ไปค้ำประกันเพื่อหวังจะสะสางหนี้สินเดิมอาจทำให้คุณไม่มีบ้านพักอาศัยอีกต่อไป หากคุณไม่สามารถเคลียร์หนี้สินได้สำเร็จ เพราะสุดท้ายคุณจะถูกยึดบ้านและที่ดินไป เพราะฉะนั้นขอให้ตรองให้จงดีก่อนนำบ้าน และที่ดินที่คุณมีอยู่เพียงจำกัดไปค้ำประกันหนี้สินใดๆ เพราะการมีบ้านอยู่ยังดีกว่าถูกยึดบ้านไป
สุดท้ายของสุดท้าย ของเน้นว่า การมีหนี้มีสินนั้นสามารถแก้ไขได้ หากคุณมีสติ ดังนั้น โปรดตั้งสติให้ดีก่อนแล้วค่อยๆ แก้ปัญหาหนี้สิน อันดับแรกที่ต้องทำคืออย่าสร้างหนี้สินเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ ดูว่าสามารถลดรายจ่ายประจำวันในส่วนใดได้บ้าง แล้วประเด็นต่อมาคือหากสินทรัพย์ใดที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกต่อไป ก็ต้องตัดใจขายมันออกไป แล้วนำเงินที่ได้ไปสะสางหนี้ ดีกว่าปล่อยให้หนี้พอกพูนดอกเบี้ยบานเบอะไปเรื่อยๆ
รีบๆ ชำระสะสางหนี้สินก่อนที่จะถูกหนี้สินท่วมทับจนหายใจหายคอไม่ออกเถอะครับ อย่าเป็นหนี้ไปจนแก่จนเฒ่าเลย ชีวิตจะหาความสุขไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ก็ต้องย้ำเหมือนเดิมว่า มีหนี้ก็ต้องใช้หนี้ อย่าเป็นคนทรามที่ก่อหนี้แล้วหนีหนี้ คนที่เป็นหนึ้แล้วหนี้หนี ชีวิตจะไม่มีวันประสบความสุขความเจริญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี