ประเทศกำลังพัฒนาสมัยนี้ มองไปก็มักจะเห็นแต่นักการเมืองที่มุ่งเสวยอำนาจเป็นสำคัญ แถมยังสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมประเทศชาติของตนเอง ก่อนจะต้องหนีลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนพร้อมกับทรัพย์สมบัติที่กอบโกยมา ทิ้งปัญหาไว้ให้กับประชาชนอย่างไร้ความรับผิดชอบ นอกจากนั้น ผู้นำประเทศบางคนก็ยังประเมินค่าของตนเองสูงเกินความเป็นจริง คิดเอาเองว่าตนยังเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนพลเมือง บางคนก็คิดว่าพลังอำนาจต่อรองยังมีอยู่มากโข จึงพยายามยื้ออำนาจ อยู่ในตำแหน่งต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ดี ในสังคมประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว การอยู่ในตำแหน่งก็จะเป็นไปตามวาระที่กำหนดไว้ในตัวบทกฎหมาย เมื่อหมดวาระแล้วก็ต้องลุกจากเก้าอี้เลิกรากันไป ส่งผลให้สังคมการเมืองของเขามีเสถียรภาพ แต่ในประเทศส่วนใหญ่ที่ยังเป็นสังคมประชาธิปไตยไม่ลงตัว ก็มักจะได้เห็นการพยายามแก้ไขกฎเกณฑ์กติกาเพื่อให้ได้ต่ออายุอำนาจทางการเมืองของบรรดาผู้นำ หรือไม่ก็จะมีการจัดวางผู้ที่จะสืบทอดอำนาจ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสมาชิกภายในครอบครัวของตน จัดได้ว่ายังเพลิดเพลินกับอำนาจวาสนา ไม่รู้จักพอ ไม่ปล่อยวาง ไม่วางมือ แล้วก็สร้างปมปัญหาให้กับบ้านเมือง
แต่ท่ามกลางความปั่นป่วนฉาวโฉ่ในแวดวงการเมืองของประเทศโลกที่สาม (Third World) หรือกลุ่มประเทศทางซีกโลกใต้ (Global South) อย่างน้อยก็ยังมีความสดใสอยู่ประเทศหนึ่ง นั่นคือ ประเทศโคลอมเบีย ที่ทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งชาวโลกก็มักจะรู้กิตติศัพท์ว่าเป็นดินแดนแห่งยาเสพติด และการขับเคี่ยวกันระหว่างแก๊งยาเสพติด ไปจนถึงสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับกลุ่มกองโจรต่างๆ อันสืบเนื่องมาจากความเห็นต่างในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง รวมทั้งอีกเรื่องก็คือ การที่โคลอมเบียเลื่องลือในเรื่องความงามของสตรี ดูได้จากการที่สุภาพสตรีโคลอมเบียที่มักจะชนะการประกวดนางงามระดับโลกต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
ที่ผ่านมาโคลอมเบียเป็นประเทศที่ดูจะไร้เสถียรภาพทางการเมือง สังคมก็ขาดทิศทาง แต่ในที่สุด ก็ได้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายต่อต้านติดอาวุธ ส่งผลให้สังคมประชาธิปไตยของโคลอมเบียค่อยๆ สามารถฟื้นตัวขึ้นมาเป็นลำดับ
มาบัดนี้ โคลอมเบียมีประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีคนใหม่ ที่ต่างมีเส้นทางชีวิตที่ดูไม่ธรรมดา คือเป็นนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์กันมาตลอด ก่อนที่จะเข้ามาสู่แวดวงการเมืองในรูปแบบ(Conventional Politics)
นายกุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล และต่อมาก็ได้ตระหนักว่า การใช้กำลังมิใช่วิถีทางที่จะบรรลุเป้าหมาย จึงได้กลับใจวางอาวุธและเข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพ แม้ว่าช่วงหนึ่งจะถูกฝ่ายทางการจับกุม และถูกคุมขัง แต่หลังจากนั้น ก็นำตัวเข้าสู่แวดวงการเมืองในการเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่น จังหวัด และประเทศในที่สุด โดยมีจุดยืนในเรื่องความยุติธรรม และความทัดเทียมในสังคมเป็นหลัก โดยในขณะเดียวกัน ก็ยังคงใฝ่หาความรู้ ได้ร่ำเรียนในวิชาเศรษฐศาสตร์ ทั้งที่ประเทศโคลอมเบีย เบลเยียม และสเปน
ส่วนนางฟรานเซีย มาร์เกซ รองประธานาธิบดี เติบโตขึ้นมาในพื้นแผ่นดินที่มีกิจการเหมืองแร่ต่างๆ จึงได้เห็นการทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติ และผลกระทบต่อชีวิต และได้เห็นการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมต่อสตรีเพศ ต่อชนกลุ่มน้อยต่างๆ จึงผันตัวไปเป็นนักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และเพื่อการรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ นอกจากนั้นนางฟรานเซีย มาร์เกซ ยังเป็นผู้หญิงผิวดำ ซึ่งหมายถึงว่าบรรพบุรุษเป็นส่วนหนึ่งของการค้ามนุษย์และการค้าทาส
ณ วันนี้โคลอมเบียจึงจัดได้ว่า เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีความแปลก โดดเด่นเป็นพิเศษที่ว่าทั้งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ต่างเป็นนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองกันมาก่อน และมีความมุ่งมั่นที่จะใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในการที่จะเปลี่ยนรูปโฉมของสังคมโคลอมเบียให้มีความยุติธรรม เสมอภาคและทัดเทียม
เมื่อทั้งคู่เข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่วันมานี้ ประธานาธิบดี และคณะรัฐบาลของเขา ก็ได้ออกคำสั่งปลดแม่ทัพบก และอธิบดีตำรวจ และยังออกคำสั่งให้แยกกรมตำรวจออกมาจากการอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม (ทำให้ตำรวจมิใช่ส่วนหนึ่งของกองทัพอีกต่อไป) ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นที่จะลดบทบาทและอิทธิพลของทหารและตำรวจ และเพื่อการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีอยู่อย่างมากมายในโคลอมเบีย และลดอัตรากำลังพลให้เหมาะสมกับสถานะความต้องการของประเทศ เพื่อจะได้นำเอางบประมาณที่กันไว้ไปใช้ในเรื่องการพัฒนาสังคม โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งการตัดสินใจปฏิรูปฝ่ายทหารและตำรวจโดยรัฐบาลพลเรือนนี้ จัดได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว และมุ่งตอบสนองผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
ความต่างระหว่างประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีโคลอมเบีย กับผู้นำทางการเมืองในอีกหลายๆ สิบประเทศ ก็คือ พวกเขาเป็นนักเคลื่อนไหว และเป็นนักต่อสู้เพื่อความถูกต้องยุติธรรมในสังคมมาก่อนการเล่นการเมือง จึงได้พิสูจน์ความเป็นตัวตนมาในระดับหนึ่งแล้ว และมาบัดนี้ เมื่อเขาได้รับโอกาสและฉันทามติจากประชาชนชาวโคลอมเบียในการที่จะเปลี่ยนรูปโฉมของประเทศโคลอมเบีย เขาจึงลงมือทำอย่างทันที โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้ผิดไปจากผู้นำประเทศอื่นๆ ที่มักจะกระโจนเข้าสู่วงการเมืองทันที ทั้งๆ ที่ด้อยประสบการณ์ ไร้ซึ่งอุดมการณ์ และการแสดงออกซึ่งความมุ่งมั่น รวมถึงการมีจุดยืนเพื่อส่วนรวมส่วนใหญ่ก็สะท้อนภาพของการเข้ามาเพราะใฝ่หาอำนาจทางการเมือง โดยไม่มีความคิดอ่านที่จริงจัง และจริงใจ เกี่ยวกับการจะนำพาบ้านเมืองให้รุดไปข้างหน้าแต่อย่างใด
ณ วันนี้ ก็คงจะกล่าวได้อย่างค่อนข้างมั่นอกมั่นใจว่า เหตุการณ์การปฏิรูปที่ประเทศโคลอมเบีย น่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อรูปแบบและวิถีทางทางการเมืองของประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ไม่มากก็น้อย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี