l โดยจะขอกล่าวถึงเรื่อง “ข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์ที่มีมา ๗๓ ปีก่อน”....แล้วจะนำบทความ “มาเลิกอ่านข่าวกันเถอะ” โดย : พี่ธรรมรักษ์การพิศิษฎ์ มาต่อท้าย
l 1.สารสนเทศ คือ อำนาจ (Information is power)
ความสำคัญของข้อมูล
ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมาย และการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัดข้อมูล เป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลข ภาพ เสียง หรือสัญลักษณ์ใดๆ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริง และต่อเนื่อง ซึ่งตัวอย่างของข้อมูล เช่น คะแนนสอบ ชื่อนักเรียน เพศ อายุ เป็นต้น
สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล อาจใช้วิธีง่ายๆ เช่น หาค่าเฉลี่ยหรือ ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การวิจัยดำเนินงาน เป็นต้น เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลทั่วไปให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์หรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจให้ตอบปัญหาต่างๆ ได้ ซึ่งสารสนเทศประกอบด้วยข้อมูลเอกสาร เสียง หรือรูปภาพต่างๆแต่จัดเนื้อเรื่องให้อยู่ในรูปที่มีความหมาย
สารสนเทศแท้จริงแล้ว ย่อมมีความสำคัญต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านการเมือง การปกครอง ด้านการศึกษา ด้าน เศรษฐกิจ ด้านสังคม ฯลฯ ในลักษณะดังต่อไปนี้
๑.ทำให้ผู้บริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ในเรื่องดังกล่าว ข้างต้น
๒.สารสนเทศจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจ (Decision Making) ใน เรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
๓.สามารถทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหา (Solving Problem) ที่เกิดขึ้นได้อย่าง ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ทันเวลากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
สารสนเทศที่ถูกต้องนับเป็นองค์ประกอบสำคัญโดยเฉพาะการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารสนเทศจึงมีความสำคัญต่อบุคคล องค์กร และสังคม ดังนี้
๑.ความสำคัญของสารสนเทศต่อบุคคลและต่อองค์กร
๒.ความสำคัญของสารสนเทศต่อสังคม 2 ด้าน คือ ด้านการปกครอง และด้านการพัฒนา
l 2.ข้อมูลข่าวสาร มีความสำคัญกับประชาชนทั่วไป และยิ่งสำคัญ สำหรับ “ผู้ที่มีอุดมคติ” ติดตามข่าวสารบ้านเมือง เพื่อรับรู้ และนำมาใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
บทเรียนที่สำคัญ คือ
๑.ต้องมีแหล่งข่าวหรือช่องทาง ในการได้ข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง
๒.ต้องให้ทันกาล ที่จักนำมาใช้ประโยชน์ หรือ การแก้ปัญหา หรือ วิกฤต
๓.ต้องนำมาวิเคราะห์ เพื่อรู้สถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้นคือ “รู้เขา รู้เรา รู้สถานการณ์ที่เป็นจริง และแนวโน้ม”
๔.ต้องรู้ทั้ง สังคมไทย และโลก
๕.รู้ ตัวเอง เพื่อนมิตร แนวร่วม คนเห็นด้วย คนเห็นต่าง
l ซึ่งจะสามารถทำได้ ต้องมี
@ มีอุดมคติ ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ให้พัฒนาก้าวไกลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนไทย
๑.ความรู้ สภาพสังคมไทย และกลุ่มที่บุคคลที่เกี่ยวข้องในสังคมทั้ง ชนชั้นนำ นักการเมือง กองทัพ กลุ่มทุนธุรกิจ นักวิชาการ สื่อ องค์กรในภาคสังคม มวลชนฯ
๒.ความเข้าใจ อย่างแท้จริง หรือให้มากที่สุดต่อข้อ ๑.ด้วยความรู้สติปัญญา ความจริง
๓.มีประสบการณ์ตรง และอ้อม ในการเข้าร่วมการเคลื่อนไหวและการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
๔.มีการสรุปบทเรียนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง***
การวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพลาด แต่อาจจะไม่ตรงหมดแต่การผิดพลาด กลับทำให้ เราเข้าใจและสรุปบทเรียนแก้ไขได้ดีขึ้น
๕.เข้าใจ และประเมิน “แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง” และ Scenario ของสถานการณ์
๖.เรียนรู้ คิด ทำ ไม่หยุด เพราะทุกวัน ทุกปี มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นเสมอ
๗.ต้องรู้และเข้าใจ ว่า “เราทำอะไร เพื่อใคร” และทำด้วยความรักความสุข
l ปัญหาใหญ่ ที่เกิดขึ้น สำหรับผู้นำ : ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร
เมื่อสูงอายุขึ้น ปลดเกษียณ หรือ เริ่มมีวัยเกิน 70 ปี เริ่มมีปัญหาในเรื่องข้อมูล
-ผู้นำที่ทำงานราชการ ที่เกษียณอายุ ข่าวสารข้อมูลเชิงลึก จะไม่ได้รับทราบเต็มร้อยแม้จะมีการติดตาม หรือได้ข้อมูลจากลูกน้องเก่าที่ทำงานอยู่ แต่ก็ไม่ได้ครบถ้วน
-ผู้นำที่โดดเด่น ในการวิเคราะห์ ที่สูงอายุและมีปัญหาสุขภาพการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เริ่มน้อยลง ไม่ครบถ้วน และบางส่วน ต้องอาศัย “การรับข้อมูลทางอ้อม” จากน้องๆ จึงก็ไม่เหมือนเดิม
-ผู้นำบางคน ที่ไปอยู่ต่างประเทศ ก็ต้องอาศัยคนในประเทศ (อาจจะเป็นลูกน้องบริวาร) แต่ก็อาจจะได้รับข้อมูลจริงและเท็จ และไม่ครบถ้วนทำให้การวิเคราะห์ ผิดพลาด และที่สำคัญมาก คือ เมื่อไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริง ก็จะคิดเอาเอง ตามความเชื่อหรืออคติของตน
l 3.การปฏิรูประบบข่าวสารข้อมูลในสังคมไทย
สังคมที่มีคุณภาพ คนมีคุณภาพ ข่าวสารข้อมูล จะมีคุณภาพ โดยมาจาก หรือต้องมีการปฏิรูปสังคมการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการข่าวสารฯ แต่สังคมไทย โดยโครงสร้างและระบบการเมืองแบบนี้ไม่สามารถทำได้ ทำให้สังคมไทยปัจจุบัน มีข่าวสารข้อมูลเท็จ บิดเบือน กว่า 90% ก่อความเสียหายให้แก่ประชาชน : ทั้งการตรงและทางอ้อมทั้งเรื่อง ความคิด การทำงาน
และการเป็นอยู่ ถูกกระทบไปหมด โดยคนส่วนน้อยที่มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การข่าวสารฯ
3.1 การแก้ไขสังคม ให้มีข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องมีคุณภาพ คือ
๑.ข้อมูลต้องถูกต้องครบถ้วน
๒.เป็นข้อมูลที่ทันสมัย ทันกาล
๓.เป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ
๔.เป็นประโยชน์ต่อประชาชน คนส่วนใหญ่ของประเทศ
3.2 ข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นเท็จ หลอกลวง ใส่ร้ายป้ายสี บุคคลอื่น หรือสถาบันสำคัญของสังคม
ต้องไม่สามารถดำเนินการได้ ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ต้องมีการลงโทษอย่างจริงจัง
3.3 รัฐบาล และประชาชน ต้องมีการร่วมมือกัน ทำเรื่องนี้อย่างจริงจังและทันกาล
โดย ผู้นำรัฐ ต้องมีวิสัยทัศน์ มีความกล้าหาญ เสียสละ ดำเนินการโดยเด็ดขาดโดยการปฏิรูปการเมืองและสังคม และมีการปฏิรูปข่าวสารข้อมูล
ระบบสารสนเทศ เป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญ
l 4.สังคมโซเชียลที่ท่วมทับไปด้วยข่าวสาร (moon grin)
STOP READING NEWS มาเลิกอ่านข่าวกันเถอะ
โดย ธรรมรักษ์ การพิศิษฎ์ ก.ค. 2565
หนังสือแปลเรื่องนี้ ผมเดินไปเจอเข้า ในร้าน หนังสือโดยบังเอิญ เมื่อหลายวันมาแล้ว ควักกระเป๋าซื้อมาอ่านเป็นอาหารสมอง และคิดว่าเหมาะสำหรับคนที่จิตตกมากๆ จากการบริโภคข่าวสารอย่างเสพติดงอมแงมในเวลานี้
Rolf Dobelli เจ้าของงานชิ้นนี้เป็นนักเขียนชื่อดังระดับโลกคนหนึ่ง
เจ้าของผลงาน The Art Of Thinking Clearly ผู้เขียนให้คำจำกัดความ ของข่าวว่า คือข้อมูลสั้นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เขาให้เหตุผลว่าเราควรหยุดบริโภคข่าว กันอย่างสิ้นเชิง โดยมีงานวิจัยยืนยันผลกระทบจากการอ่านข่าว ในยุคการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิตัล ทำให้ข่าวกลายเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง มีผลต่อจิตใจ ในรูปแบบเดียวกับที่น้ำตาลส่งผลต่อร่างกาย
การเลิกอ่านข่าวทำให้เรามีเวลามากขึ้นและเกิดมุมมองใหม่ๆ ที่ช่วยให้เราค้นพบสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตและสร้างความสุขได้อย่างแท้จริงซึ่งพอจะสรุปเหุตผลต่างๆ ที่เขาค้นพบได้ดังนี้
1.ข่าวที่เรารับมากมายในแต่ละวัน
ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยจะมีสาระสำคัญต่อชีวิตเรา ถึงเราไม่ติดตามข่าวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพลาด รับรู้ข่าวที่สำคัญ ข่าวใหญ่เพราะถึงยังไงมันก็จะไหลมาเข้าหู เราเอง ถ้าสำคัญจริงๆ วิธีดีที่สุดในการเรียนรู้เหตุการณ์สำคัญ ก็คือการอ่านหนังสือหรือบทความ งานค้นคว้าวิจัย ที่มีคุณภาพ
2.ข่าวที่เราบริโภคกัน ร้อยละ 99 ล้วนแต่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือขีดความสามารถของเราที่จะเข้าไป จัดการแก้ไขอะไรได้
แต่หากเรา พบว่าอีกร้อยละหนึ่งอาจ มีประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ อยู่ในขีดความสามารถเราที่จะนำมาใช้เป็นคุณตามความสนใจในแต่ละสาขาวิชาของแต่ละคนอาจหาได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ประเภทนิตยสาร รายเดือนรายสัปดาห์ต่างๆ เช่น Foreign Affaire, The Economist เป็นต้น
สำหรับผมทำตามคำแนะนำของคนเขียนยาก เพราะมันแพงมากแม้จะหาอ่านจากกูเกิ้ลได้ ก็ต้องเสียค่าสมัคร เป็นสมาชิกจึงเข้าไปอ่านได้ จึงเอาแค่ หาซื้อ Bangkok Post มาอ่านเป็นบางครั้งเขาตีพิมพ์บทความดีๆ จากคอลัมนิสต์ และนักวิชาการดีๆ อยู่ประจำ หางานวิจัยดีๆ ทางวิชาการของ TDRI รวมทั้งสถาบันพระปกเกล้ามาอ่าน เป็นประโยชน์มาก พยายามเลิกตามข่าวประเภท IO และข่าวสะเปะสะปะรายวันตามสื่อทุกชนิด
3.การบริโภคข่าวอย่างสะเปะสะปะ อย่างเสพติด นอกจากทำให้เราเสียเวลาเปล่าๆ แล้วยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้เขียนอ้างผลงานวิจัย ของสมาคมจิตวิทยา อเมริกัน ยืนยันว่าการบริโภคข่าว มากเกินไป ก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรัง นำไปสู่โรคทางกายได้มากมายเช่น ระบบย่อยอาหาร คุณภาพชีวิตแย่ลง
4.มีผลงานวิจัยที่ว่า ข่าวทำให้สมองคนเราเปลี่ยนไป
สมองคนเรามีอยู่ 86,000 ล้านเซล มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากเราปล่อยให้ตัวเองถูกเล่นงานด้วยข่าวถาถมเข้ามาเรื่อยๆ ข่าวสามารถล้างสมองเราได้จริงๆ คือทำงานต่างไปจากเดิมได้ นอกจากนี้ข่าวยังทำลายความคิดสร้างสรรค์ ผู้บริโภคข่าวทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่มีทางเป็นอัจฉริยะนักสร้างสรรค์ ข่าวทำให้เราเฉื่อยชา เพราะมักจะเจอกับเรื่องที่เราควบคุมจัดการอะไรไม่ได้ ปรากฏการณ์นี้ มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า ความสิ้นหวังอันเกิดจากการเรียนรู้ ( learned helplessness)
ประเด็นนี้น่าจะเจอกับตัวผมเองจากการติดตามข่าว การเมืองการแก้รัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายเลือกตั้งการ หาร 100 หาร 500 การปฏิรูปประเทศ ร้อยแปดพันเก้า แล้วเกิดอาการแบบนี้เลยจริงๆ
5.เชื่อหรือไม่ว่า มีผลการทดลองทางความคิด สรุปให้เห็นว่าการก่อการร้ายเกิดผลสำเร็จ เพราะได้รับความร่วมมือจากสื่อ เป้าหมายการก่อการร้ายมิใช่ การเข่นฆ่าผู้คนแต่มีเหตุผลสลับซับช้อนมากกว่านั้นคือการสร้างความหวาดกลัว และความวุ่นวายจนส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
6.ในสภาวะปัจจุบันข่าวนอกจากไม่มีความสำคัญต่อประชาธิปไตยแล้ว ยังบ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วย ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา คุณภาพวาทกรรมทางการเมืองตกต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ข่าวออกอากาศทางออนไลน์ เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่บุกเข้ามาในโลกส่วนตัวของเราผ่านสมาร์ทโฟน เผยแพร่ข่าวประเภทไร้สาระ
และวาทกรรมทางการเมืองต่างๆมากมายล้นหลาม สถานการณ์นี้ คล้ายกับการแข่งขันสะสมอาวุธ มากอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งจะนำไปสู่จุดต่ำสุด ถ้าเราต้องการ จะสนับสนุนให้เกิด การปฏิรูปประชาธิปไตยที่ดี ก็ไม่ควรเข้าไปร่วมบริโภคข่าวไร้สาระเหล่านี้ (เช่นข่าวประเภท หาร 100 หาร 500 )
7.ประชาธิปไตยจะผลิบานได้ก็ต่อเมื่อได้รับการผลักดันจากสื่อที่มีเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูล ซึ่งเปิดเผยความจริงอย่างครอบคลุมทุกแง่มุมซึ่งเป็นงานยากกว่าที่นักข่าวทั่วไปทำอยู่หลายเท่าเพราะจะต้อง เป็นข้อเขียนเชิงสืบสวนการกระทำผิดของผู้มีอำนาจหรือ งานเขียนเชิงอธิบายความที่นำเสนอภาพรวมข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และคำอธิบาย ซึ่งตัองอาศัยทั้งเงินงบประมาณ และนักข่าวที่มีทักษะสูง ทว่าแวดวงข่าวในปัจจุบันยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกันมากนัก หากสังคนเลือกบริโภคข่าวไร้สาระหันมา สนใจกับบทความหรือข้อเขียน ที่มีคุณภาพ ตามที่กล่าวมาข้างต้นประชาธิปไตยที่แท้จริงน่าจะเกิดขึ้นมาได้
8.มองไปในอนาคต ผู้เขียน มองเห็นแนวโน้มของข่าว ใน ๔ รูปแบบ
๑.รูปแบบแรก ปริมาณข่าว จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
๒.รูปแบบที่สอง ข่าวจะรุมล้อมเราตลอดเวลา
๓.รูปแบบที่สาม อัลกอรีทีมจะรู้ใจเรามากขึ้น ทั้งความชอบ จุดยืนทางการเมือง กิจวัตรประจำวันและอื่นๆ
๔.รูปแบบที่สี่ ข่าวจะห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นทุกที อนาคตข่าวปลอมจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมีมากขึ้นจากฝีมือมนุษย์ที่ขาดความสำนึกรับผิดชอบชั่วดีเพื่อผลประโยขน์ของตนเองและพวกพ้อง
ผู้เขียนสรุปย้ำตอนท้ายเล่ม โดยฟันธงลงไปเลยว่า พายุข่าวกำลังโจมตีเราอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้ความสามารถในการคิดของเราย่ำแย่ลงทุกที เขาจึงแนะนำให้ เรารีบหนีออกมาจาก พายุอันโหดร้ายนี้ให้เร็วที่สุด(content)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี