เสียงเฮดังสนั่นหวั่นไหว ไม่ใช่เฉพาะในหมู่ “กองเชียร์” ของลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น ในหมู่กองแช่งยิ่งเฮดังกว่า เพราะโคตรจะ “สมหวัง” เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ผู้ถูกร้อง) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ถึงวันที่ 24 ส.ค. 2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560
แปลง่ายๆ ก็คือ การนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า “...นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง...” นั้นพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เข้าเงื่อนไขนี้
มูลเหตุสำคัญคือ ศาลวางบรรทัดฐานการนับ โดยให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลบังคับใช้ คือ วันที่ 6 เมษายน 2560 ดังนั้น เมื่อนับถึงวันที่ผู้ร้อง ยื่นเรื่องขอให้ศาลวินิจฉัย คือ วันที่ 24 สิงหาคม 2565 นั้นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งอยู่ใต้บังคับของเงื่อนไขนี้ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพียง 5 ปี 4 เดือน 18 วัน เท่านั้นเอง
หลายคนก็ถามว่า “อ้าว! แล้วก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์แกเป็นอะไรวะ”
ก็เป็น “นายกรัฐมนตรี” นั่นแหละ แต่ไม่ได้เป็นนายกฯ ภายใต้บังคับของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การนับจำนวน 8 ปี แบบกางปฏิทินนับ กับการนับแบบ “ภายใต้การบังคับของรัฐธรรมนูญ ปี 2560” จึงไม่เหมือนกัน
นั่นหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ กลับมาเป็น “นายกฯตัวจริง” ที่มีอำนาจเต็มอีกครั้ง
ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรี เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ,นายชวน หลีกภัย, นายอานันท์ ปันยารชุน, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากมีโอกาสได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง มีค่าเท่ากับว่า จำนวนปีที่บุคคลเหล่านี้เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ มา จะไม่ถูกนำมานับในอายุ 8 ปีเลยแม้แต่วินาทีเดียว
สิ่งที่เราทุกคนต้องรู้และมองให้ออก คือ จะมีอะไรตามมาหลังจากนี้
1) พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตามปกติ เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้ อนุมัติงบประมาณในอำนาจของนายกฯ ได้ นำความขึ้นกราบบังคมทูลและรับสนองพระบรมราชโองการได้ เป็นต้น
2) มีปัญหามากมายรอให้ท่านตัดสินใจและบริหารจัดการ ที่สำคัญที่สุด คือ สถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนเดือดร้อน พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย ท่ามกลางกติกาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่อนุญาตให้นักการเมือง พรรคการเมือง และว่าที่ผู้สมัคร สส. ไปแจกสิ่งของช่วยเหลือชาวบ้านได้ ดังนั้น หน้าที่หลักจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องสั่งการผ่านกระทรวงกรม กอง ต่างๆ ให้เข้าช่วยเหลือประชาชนให้ทั่วถึงและทันท่วงที โดยมีเอกชนและมูลนิธิต่างๆ เป็นตัวเสริม ซึ่งขณะนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างน่าชื่นชมยิ่งนัก
3) พล.อ.ประยุทธ์ ก็กลับมาเป็นเจ้าภาพเตรียมการจัดการประชุมเอเปก ได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องมี “ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน”
4) โดยสิทธิในการดำรงตำแหน่งนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นได้จนกระทั่งหมดวาระในเดือนมีนาคมปีหน้าหากท่านเลือกจะอยู่ครบเทอม ยกเว้นท่านเลือกจะ“ยุบสภา” ก่อนครบวาระ เพื่อเอื้อให้ “การย้ายพรรค” ของนักการเมืองสะดวกขึ้น มีเวลาสังกัดพรรคใหม่ได้ครบเงื่อนไขของกติกาการเลือกตั้ง โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ที่จะย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้าพบ เข้าหา เข้าเยี่ยมพล.อ.ประยุทธ์ มากที่สุด ในบรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรี ผู้คนก็จับตาท่าทีนี้ของนายอนุทินอยู่ไม่น้อย
5) ในทางการเมือง จะเกิดเสียงเรียกร้องให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างแน่นอน อย่าลืมว่าพรรคพลังประชารัฐ เสียเก้าอี้ไป 2 เก้าอี้ ที่เป็น “โควตา” ของพรรค
นานนับปีแล้ว หลังร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ถูกปลดฟ้าผ่า ก็มีคนในพรรคชะเง้อคอรอจะขึ้นนั่ง จนแทบจะกลายเป็นยีราฟคอยาวกันอยู่หลายคน ยังไม่รวมพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก็ต้องการตั้งคนเข้านั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่ลาออกไปสู้คดี ขณะที่พรรคภูมิใจไทยก็มีปัญหา กรณีนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะปล่อยให้เก้าอี้ตัวนี้ “ว่างคนนั่ง” ไปทำไม
6) เฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ไม่น่าจะมีอะไรที่จะต้อง “เกรงใจ” พล.อ.ประยุทธ์ แล้วกระมัง เพราะเก้าอี้ที่ว่างเป็น “โควตาของพรรค” และกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ หากได้เป็นนายกฯ ต่อสมัยหน้า ก็เป็นได้แค่ไม่เกิน 2 ปี ในสภาวะแบบนี้ พรรคพลังประชารัฐต้องคิดให้ตกแล้วว่า จะยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไหม เวลาหาเสียงหรือไปดีเบต ต้องคอยตอบคำถามว่า “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ได้แค่ครึ่งเทอม แล้วอีกครึ่งหนึ่งใครจะเป็นต่อล่ะ? นั่นทำให้พรรคหาเสียงยากมาก และกระแส “ลุงตู่” ตอนนี้ ก็ไม่ได้แรงเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน กลไกที่อยู่ในมือ ก็ไม่ได้ “แรง” เท่ากับตอนเป็นนายกฯ หัวหน้า คสช. แถมความสัมพันธ์ในหมู่ 3 ป. ก็ยังเป็นที่สงสัย ไม่แน่ใจของผู้คนด้วย หากลุงตู่ “ไม่คายเก้าอี้ ครม.” คืนให้พรรค พรรคก็อาจ “เอาคืน” ท่านในตอนเลือกตั้งก็เป็นได้ เช่น ไม่เสนอชื่อเป็นนายกฯ หรือเสนอไปสองชื่อ สามชื่อ ครั้นถึงเวลาประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกฯ ก็ไม่เสนอชื่อท่าน แต่ไปเสนอชื่อคนที่สอง หรือคนที่สามแทน ถึงเวลานั้น ท่านจะทำอะไรได้ครั้นจะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคอื่น เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ลองดู!
7) พรรคพลังประชารัฐ “ขมขื่นใจ” อยู่ไม่น้อยนะครับ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยมาสุงสิงด้วย เข้าพบก็ยากนโยบายพรรคก็ไม่หยิบไปเชิดชูให้เป็นผลงาน การ “ให้ใจ”กัน “แบบครึ่งๆ กลางๆ” ความสัมพันธ์แบบ ผบ. กับ พลทหารไม่ใช่สัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นและ “ครองใจคน” สส.พลังประชารัฐเหมือนกองทหาร ที่มีหน้าที่ยกมือหรือไม่ยกมือในสภาเท่านั้น ในท่ามกลางกระแส “ลุงตู่” เป็นแบบนี้บางพื้นที่ สส. และว่าที่ผู้สมัคร ก็ไม่ได้อยากหาเสียงด้วยการชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ หรอก นั่นแปลว่า รอดคำวินิจฉัยมา อยู่ต่อ นั่นง่ายแสนง่าย แต่การจะ“ไปต่อ” อย่างไรนี่สิ ยากแสนยาก
8) ขั้วตรงข้าม “ลุงตู่” ก็แสนยินดีปรีดา เจอ“สารตั้งต้น” ที่ทรงพลัง ในการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใส่คะแนนในพรรคตัวเองแล้ว ดูตัวอย่าง ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ ดูหน่อยเป็นไร
ไอติม โพสต์เฟซบุ๊คทันที หลังทราบผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า
“[ประยุทธ์รอด 8 ปีเราไม่เท่ากัน : ถึงเวลายุติรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ]
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นอีกครั้งที่ทำให้ประชาชนไทยรู้สึกสิ้นหวัง
มิใช่สิ้นหวังเพียงเพราะบุคคลอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แม้ขาดทั้งความชอบธรรม
ทางการเมืองและความสามารถในการบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤตที่รุมเร้า
แต่สิ้นหวัง เพราะคำวินิจฉัยในวันนี้ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจ ว่าสถาบันตุลาการของบ้านเมืองที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กลับกำลังปกป้องคุ้มครองการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร มากกว่าปกป้องคุ้มครองหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ จะตรงกันข้ามกับคำวินิจฉัยตามสามัญสำนึกของประชาชน แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯโดยขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมายาวนานเกินกว่า 8 ปีแล้ว ผ่านการทำรัฐประหารและการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ
ตราบใดที่สังคมไทยยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สถาบันทางการเมืองต่างๆ ก็จะยังถูกใช้เป็น “อาวุธ”ของระบอบการเมืองที่อำนาจสูงสุดไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หนทางเดียวในการคืนประเทศให้กับประชาชน คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ประชาชนจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
แม้การเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นโอกาสให้ประชาชนได้พิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยมือของตนเอง แต่ตราบใดที่รัฐธรรมนูญ 2560 ยังไม่ถูกรื้อ ประเทศไทยจะยังไม่หลุดพ้นจากวังวนของระบอบที่สืบทอดมาจากคณะรัฐประหาร
ดังนั้น ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน มาร่วมกันเข้าชื่อเพื่อให้มีการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง เพื่อทำให้วันเลือกตั้งไม่เป็นเพียงโอกาสในการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แต่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนโครงสร้างและกติกาของประเทศ ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
เราทราบดีว่า 8 ปีภายใต้ระบอบประยุทธ์ ได้สร้างความเจ็บปวดที่ชินชา และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าจะยังคงเป็นไปได้หรือไม่ แต่ผมและพรรคก้าวไกลขอร่วมยืนหยัดและยืนยัน ว่าความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร แม้อาจยังไม่มากพอที่จะกำจัดระบอบอยุติธรรมที่ปกคลุมประเทศได้ในทันทีแต่หากพวกเรา ประชาชน ไม่สิ้นหวัง และเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยที่มี “อนาคต” จะรออยู่ข้างหน้า
อนาคตของเศรษฐกิจที่เติบโตเพื่อทุกคน
อนาคตของสังคมที่คนเท่ากัน
อนาคตของประชาธิปไตยเต็มใบที่ไม่มีใครอยู่เหนือประชาชน
หากเหตุการณ์วันนี้ทำให้พี่น้องประชาชนคับแค้นผิดหวัง โปรดเปลี่ยนความคับแค้นผิดหวังนั้นให้เป็นพลัง เพื่อใช้ขีดเขียน “อนาคตใหม่” ไปด้วยกัน
หนึ่งเสียงของทุกคนในการแสดงออก หนึ่งคะแนนของทุกคนในคูหาเลือกตั้ง และหนึ่งชื่อของทุกคนในการสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือหนึ่งพลังของความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศไทยที่ก้าวหน้า”
จะเห็นเลยว่า ไอติมรีบตั้งหม้อ “หุงอารมณ์”แฟนคลับตนเอง และแฟนคลับก้าวไกลทันที แน่นอนว่า แฟนคลับกลุ่มนี้ไม่ข้ามขั้วมาเลือกฝั่งนิยมประยุทธ์แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ในฝั่งเดียวกันนั้นก็มี “ตัวหาร” หรือ“ตัวเลือก” อยู่หลายตัวเหมือนกัน จำเป็นต้องเปลี่ยน “พลังเฉื่อย” กับ “พลังลังเลว่าจะเลือกใคร” ให้ตัดสินใจ “เลือกพรรคก้าวไกล” ทันที
คีย์เวิร์ด คือ “...หากเหตุการณ์วันนี้ทำให้พี่น้องประชาชนคับแค้นผิดหวัง โปรดเปลี่ยนความคับแค้นผิดหวังนั้นให้เป็นพลัง เพื่อใช้ขีดเขียน “อนาคตใหม่”ไปด้วยกัน...”
คันเร่ง คือ “...การเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นโอกาสให้ประชาชนได้พิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ด้วยมือของตนเอง...”
สินค้า คือ “...หนึ่งเสียงของทุกคนในการแสดงออก หนึ่งคะแนนของทุกคนในคูหาเลือกตั้ง และหนึ่งชื่อของทุกคนในการสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือหนึ่งพลังของความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศไทยที่ก้าวหน้า...”
ไม่ปลุกม็อบ เพราะม็อบในช่วงเวลาอย่างนี้ หมิ่นเหม่ที่จะเสียคะแนนมากกว่าได้คะแนน สู้เปลี่ยน “ความคับแค้น”ให้เป็น “คะแนน” โดยตรงไปเลยดีกว่า
9) โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา เคยวิเคราะห์ไว้น่าสนใจว่า“การตัดสินครั้งนี้จะมีผลว่าสนามเลือกตั้งคราวหน้าจะปกติไหม หรือจะมีผลในทางย้อนกลับ กลับทาง กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์เพราะคนโกรธเรื่องนี้ ฝ่ายนั้นทั้งหมดเลยไปเทคะแนนให้พรรคเดียว อย่างนั้นพรรคก้าวไกลจะเดือดร้อนนิดหนึ่ง ตนเคยมองไปถึงว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อ เพราะมันจะไปมีผลสร้างความโกรธแค้นของคนในฝ่ายตรงข้ามจนกระทั่งเทคะแนน ถึงบอกว่าสนามเลือกตั้งไม่ปกติ นอกจากเรื่อง สว. 250 คนแล้วมันมีตรงนี้ด้วย ความรู้สึกของการไม่เลือกเราเขามาแน่ มันทำให้สนามไม่ปกติ แล้วจะเกิดการแลนด์สไลด์ขึ้น”
10) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยเคยชี้ว่า “ถ้าประยุทธ์รอด อยู่ต่อได้หลัง 30 กันยายนสถานะของเขาจะเป็นเหมือนหัวคะแนนหลักของพรรคเพื่อไทยอยู่นานเท่าไหร่ เพื่อไทยก็เข้าใกล้แลนด์สไลด์เท่านั้นไม่เชื่อก็ลองดู”
11) ส่วนม็อบ คงมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ เป็น “ม็อบหรอมแหรม” หรือ “ม็อบยุงรำคาญ” หรือ “ม็อบแมลงหวี่แมลงวัน” เท่านั้น เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ทั้งคนเข้าใจว่า มาม็อบนี่คือ ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใช่ไหม ไหนจะสถานการณ์ฝนฟ้า แถมประชาชนที่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะม็อบด้วย เพราะอีก 6 เดือนก็หมดวาระแล้ว จะมาม็อบกันทำไม
สรุป : “ลุงตู่” อยู่ในสภาพ “อยู่ต่อง่ายไปต่อยาก” อาจจะยังมีประชาชนที่ศรัทธาและรัก แต่จะเหลือพรรคการเมืองที่พร้อม “ล่มหัวจมท้าย” ไปกับท่านอีกกี่มากน้อย และหากท่านยังอยู่ในสมการการเมือง/การเลือกตั้ง ก็จะเป็นงานขับเคลื่อนให้แรงต้านของอีกขั้วคึกคักอย่างไม่เกินที่จะคาดเดาได้
จึงน่าติดตามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของตัวเองอย่างไร!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี