เมื่อปี พ.ศ. 2549 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อยู่ในทีมของ พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน ที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร) ทำให้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ถือเป็นศัตรูและคู่อริทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตรอย่างชัดเจน ทำให้พอจะประเมินได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ของการเมืองไทย ทั้ง 2 นั้นจะไม่มีวันเผาผีกันเป็นอันขาด
และแม้ว่าทั้ง 2 ผู้เฒ่าจะมีความต่าง ทั้งในแง่ความคิดและการปฏิบัติ ว่าด้วยเรื่องการบ้านการเมือง แต่ก็มีความเหมือนที่เสมือนเป็นคู่แฝดในความคิดอ่าน ในเรื่องที่ยึดเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง หรือการเป็นผู้มีอัตตาเป็นที่ยึดเหนี่ยว เสมือนเป็นคู่แฝดสยาม ว่าด้วยการยึดติดกับอำนาจนิยม การคิดและเชื่อว่าตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่สังคมไทยขาดเสียซึ่งมิได้ (Indispensable)มีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะนำพาสังคมได้
นั่นก็เพราะทั้งสองไม่รู้จักคำว่า “ปล่อยวาง” คำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า “เลิกรากันไป” ทั้งสองไม่ตระหนักว่าการคงอยู่ หรือการยืดเยื้อในสนามการบ้านการเมืองของไทยนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อชาติบ้านเมือง เพราะมันมีแต่สร้างความแตกแยก ความสับสนยุ่งเหยิง เสริมสร้างสภาวะการไร้ซึ่งเสถียรภาพ และการไร้ซึ่งสันติสุขในบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ในวันนี้ แม้ ทักษิณ ชินวัตร จะต้องเร่ร่อนไปทั่วโลกเป็นสัมภะเวสีแห่งการเมืองไทย แต่ก็ยังคงหายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องการเมืองไทย และยังหวังถึงการจะได้กลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างสง่างาม ด้วยวิธีใดก็ได้ ที่ตนเองจะปราศจากมลทิน ซึ่งการยึดมั่นถือมั่นในความทะเยอทะยานนี้ยังไม่เคยลดละหรือจืดจางไปแต่อย่างใด ยังคงความเข้มข้นอย่างสม่ำเสมอจนน่าพิศวง
ขณะเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และการติดสันดอนของการเจริญก้าวหน้า ด้วยวิธีการต้องมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องคงอยู่ต่อไป โดยคิดว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและความรักชาติ เป็นการแสดงออกที่บ่งบอกซึ่งการเสียสละดั่งชีวิตจะหาไม่ โดยไม่ได้คำนึงเลยว่า การเข้าสู่ตำแหน่งหน้าที่ของตนนั้น มีความถูกต้องชอบธรรม เป็นไปตามจิตวิญญาณและลายลักษณ์อักษรของตัวบทกฎหมายหรือไม่ และก็ไม่ได้นำมาเปรียบเทียบว่า ความอยากและการปฏิบัติตามความอยากนั้น นำมาซึ่งความสำเร็จ และความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองอย่างจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นการมโน คิดเองและเออเอง และที่สำคัญก็ได้แสดงให้สังคมได้เห็นว่า ไร้ความสามารถในการรับฟัง และการประเมินของผู้อื่นว่า ประเทศไทยคงจะไปได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ส่วน ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยมีรัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มีภารกิจสำคัญยิ่งเป็นอันดับแรก ก็คือการนำเอา ทักษิณชินวัตร กลับสู่ประเทศไทย แบบที่กฎกติกาการลงโทษความผิดในอดีตของบ้านเมืองมิอาจแตะต้องเขาได้ แต่ก็ประสบแต่ความล้มเหลว ซึ่งบัดนี้ ก็ยังมุ่งมั่น อยู่ระหว่างการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดชุดที่ 4 ขึ้นมาอีกในนามของ แพทองธาร ชินวัตร ผู้บุตรสาว โดยที่ ทักษิณชินวัตร ไม่คิดจะยอมรับบทเรียนที่ผ่านมา ยังคงดึงดัน ดันทุรังต่อไป ซึ่งในการนี้ก็จะทำให้สังคมไทยต้องแตกแยกและเผชิญหน้ากันต่อไป เพราะฝ่ายทักษิณ และฝ่ายต่อต้านทักษิณ ก็จะไม่ยอมกัน จนกว่า ทักษิณ ชินวัตรจะยอมรับความเป็นจริง และวางมือไปจากวงการเมือง และสังคมไทย
ทางด้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หากคิดจะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติในวันนี้ ก็ควรต้องยอมวางมือจากการเมือง เพราะนับตั้งแต่การเข้าสู่ซึ่งอำนาจ ก็มาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร และหลังจากนั้น ก็มาจากการขีดเขียนกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อต่ออำนาจให้กับตนเอง ซึ่งก็มีประชาชนพลเมืองจำนวนหนึ่งเห็นว่า เป็นการไม่ถูกต้อง และจะต้องต่อต้านอีกต่อไปอย่างไม่ลดละ ฉะนั้นก็อาจกล่าวโดยรวมๆ เป็นการทั่วไปว่า ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นก็มีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน และผู้สนับสนุนของทั้งสองก็ยังต่อต้านกันเองอีกด้วย การไม่ลงรอยกันก่อให้เกิดความสับสนและบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของสังคมไทย ทั้งสองจึงเป็นตัวปัญหา
ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มประชาชนที่ไม่เอาด้วยกับทั้ง ทักษิณ และพลเอกประยุทธ์ และจัดได้ว่าเป็นฝ่ายหัวก้าวหน้า โดยเห็นว่าทั้งฝ่ายประยุทธ์ และฝ่ายทักษิณเป็นพวกอำนาจนิยม และเป็นพวกตัวบุคคลนิยม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมประชาธิปไตย และคุกคามสิทธิมนุษยชนทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งรัฐบาลหุ่นเชิดทั้งสามดังกล่าว เผชิญกับการประท้วง ต่อต้าน ของประชาชนพลเมือง เปิดช่องทางให้ฝ่ายกองทัพได้แทรกแซงในกิจการการเมือง ส่วนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านของฝ่ายประชาชนส่วนหนึ่ง และการต่อต้านก็มีเค้าว่า จะขยายตัวและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต้องตระหนักว่า ตัวเองนั้นไม่ใช่บุคคลที่มีค่า (Asset) อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นบุคคลที่เป็นตัวถ่วงของสังคม (Liability) ไปเสียแล้ว
แล้วทั้ง ทักษิณ ชินวัตร และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะถึงเวลาแล้วที่จะได้พิจารณาตนเองว่าต่างคนต่างเป็นปัญหาของบ้านเมืองขนาดไหน และฉะนั้น จะต้องปลดปล่อยบ้านเมืองไทยให้เป็นอิสระ เพื่อจะไปตั้งไข่ เริ่มต้นกันใหม่ได้เสียที
ดังนั้น ความดีงามที่บุคคลทั้งสองพอจะกระทำได้ในวันนี้ ก็คือการไม่รั้งประเทศไทย และการไม่เป็นตัวปัญหาซึ่งคงไม่มีใครจะไปบีบบังคับให้เปลี่ยนใจได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญา และจิตสำนึก ของแต่ละคนว่า จะสามารถขบคิดได้หรือไม่ว่า การที่ตนเองข้องแวะกับการเมืองไทยต่อไป หรือการเลิกข้องแวะกับเรื่องการบ้านการเมืองไทย อันไหนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่ากัน?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี