ทุกวันนี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้ตัวดีว่าตกอยู่ในสภาวะการผูกขาดในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องการค้า การบริการต่างๆ เราทุกคนเห็นชัดว่ามีนายทุนเพียงไม่กี่ตระกูลในประเทศนี้ สามารถยึดกุมผูกขาดการให้บริการในเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งประเทศแต่ทว่าเรากลับไม่เห็นว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาการผูกขาดอย่างจริงจัง แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือดูเสมือนว่ารัฐบาลยินดีสนับสนุนให้เกิดการผูกขาดโดยเอกชนเพียงไม่กี่รายด้วยซ้ำไป
สองถึงสามทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยตกอยู่ใต้สภาวการณ์การผูกขาด และการกระจุกตัวของการให้บริการสำคัญๆ อยู่ในกำมือของนายทุนระดับชาติ และข้ามชาติเพียงสองสามตระกูลเท่านั้น แล้วยิ่งนับวันสถานการณ์การผูกขาดในสังคมไทยจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นและมากขึ้นเป็นลำดับ ดังที่เราทุกคนได้พบแล้วว่ารัฐบาลยินยอมให้เอกชนรายใหญ่บางรายเข้าไปควบคุมผูกขาดโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชนได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะการปล่อยให้เอกชนยักษ์ใหญ่เข้าไปผูกขาดกิจการสำคัญๆ ได้โดยไม่ผ่านการแข่งขันในเชิงการตลาดอย่างแท้จริง
แล้วยิ่งเรามีรัฐบาลที่มีลักษณะเป็นคณาธิปไตยที่มาจากการรัฐประหาร รวมถึงเป็นรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาที่ชอบอ้างว่าชนะการเลือกตั้ง (ทุจริต) แล้วสามารถเข้าไปยึดกุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือได้อย่างเหนียวแน่น เราก็จะยิ่งพบว่าอำนาจการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจในประเทศของเราก็ยิ่งกระจุกตัวอยู่ในกำมือของนายทุนระดับ
ชาติที่มีความแนบแน่นกับผู้มีอำนาจรัฐแบบผูกขาดมากยิ่งๆ ขึ้นไป จนกล่าวได้ว่า เมื่ออำนาจรัฐกระจุกตัวก็นำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจการผูกขาดในเชิงเศรษฐกิจโดยปริยาย
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ายิ่งรัฐบาลได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม ก็จะยิ่งเกิดการกระจุกตัวของกลุ่มผู้กุมอำนาจเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมจะต้องพยายามหาพวกด้วยการเอาอกเอาใจข้าราชการจำพวกเลวทราม และเจ้าสัวเลวทราม เพื่อให้รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมสามารถชูคออยู่บนฐานอำนาจไม่ชอบธรรมได้ยาวนานที่สุด หรือมิฉะนั้นก็เพื่อให้เกิดการซื้อขายเสียงด้วยกลอุบายที่สุดแยบยล แต่ทว่าน่ารังเกียจแบบสุดๆ เพื่อให้กลับเข้าไปเป็นรัฐบาลที่ปราศจากความชอบธรรมให้ได้อีกครั้ง
เวลาพูดถึงเรื่องการผูกขาดในเชิงเศรษฐกิจ และเชิงธุรกิจแล้ว ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็รู้อยู่เต็มอก แต่ก็ไม่รู้จะต่อสู้หรือคัดค้านความเลวทรามดังกล่าวได้อย่างไร จนในที่สุดก็ต้องยอมเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนความเลวร้ายนั้นๆ ไปอย่างหน้าชื่นอกตรม โดยอ้างว่าไม่มีทางเลือก ไม่ซื้อบริการจากนายทุนผูกขาด ก็ไม่รู้จะไปเลือกใช้บริการได้จากที่ไหน เพราะหันไปด้านซ้ายก็เจอนายทุนรายนี้ หันไปทางขวาก็เจอนายทุนอีกรายหนึ่ง สรุปคือหันไปทางซ้ายหรือขวาก็ไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว
เมื่อถามต่อไปว่า แล้วรู้หรือไม่ว่านายทุนทั้งสองรายนั้นเอาเปรียบประชาชนมาโดยตลอด ก็ได้รับคำตอบว่า รู้ยิ่งกว่ารู้ แต่ไม่มีปัญญาต่อกรด้วย ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม สู้ไปก็แพ้ เหนื่อยเปล่า ป่วยการต่อสู้
เมื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยคิดและเชื่อแบบนี้ ก็จึงทำให้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้นกับการที่รัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรมจะร่วมมือกับนายทุนเพียงไม่กี่ตระกูลกอบโกยและโกงกินประเทศชาติได้โดยปราศจากผู้ขัดขวาง
เราทุกคนพบว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทในประเทศไทยสามารถครอบครองรายได้ส่วนใหญ่จากการค้าการขายภายในประเทศไว้ในกำมือ หรือพูดให้ชัดโดยมีตัวเลขอ้างอิงก็คือ ในปี 2559 พบว่ามีบริษัทที่ทำรายได้สูงสุด 5 เปอร์เซ็นต์ในไทย สามารถครอบครองส่วนแบ่งรายได้ทั้งหมดสูงถึง 85 เปอร์เซ็นต์จากรายได้ของภาคธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทย โดยพบว่าส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัทยักษ์ใหญ่สามารถครอบครองได้นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว โดยในปี 2547 สามารถครอบครองส่วนแบ่งที่ระดับ 70 เปอร์เซ็นต์ (ดูเพิ่มเติมได้จากงานวิจัยของ Banternghansa, Paweenawat และ Samphantharak (2019) เรื่อง “Understanding Corporate Thailand I: Finance” (forthcoming) สามารถค้นหางานนี้ได้จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์)
สิ่งหนึ่งที่งานวิจัยชิ้นดังกล่าวข้างต้นระบุคือมีการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ เช่น ปิโตรเลียม และโทรคมนาคม ซึ่งอุตสาหกรรมทั้งสองนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเป็นอย่างดีแล้วในสังคมไทย เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องตั้งคำถามเรื่องการผูกขาดในอุตสาหกรรมทั้งสองชนิดนี้อีกต่อไป
มีคำถามที่น่าสนใจตามมาคือ แล้วรัฐบาลไทยปล่อยให้เกิดการผูกขาดได้อย่างไร รัฐบาลไม่นำพาต่อความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดกับสาธารณชนในอนาคตหรือ อันที่จริงก็พอจะเห็นข่าวอยู่บ้างว่ารัฐบาลก็สำเหนียกในเรื่องนี้พอประมาณ แต่ก็ดูเสมือนว่าแค่สำเหนียกเท่านั้น เพราะในเชิงการป้องกันและป้องปรามโดยแท้จริงนั้น ยังไม่เคยบังเกิดเป็นรูปธรรมสักครั้งในประเทศไทย
ความสำเหนียกที่ว่านั้นก็คือ เราได้พบเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ตราพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ขึ้นมาแทนพระราชบัญญัติที่มีชื่อเดียวกัน แต่ตราขึ้นเมื่อ 2542 แต่ก็เป็นที่สังเกตว่า แม้จะมีพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้ามาตั้งแต่ปี 2542 แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจังแต่ประการใด สรุปว่าก็แค่มี แต่ไม่เคยใช้อย่างจริงจังแม้แต่ครั้งเดียว
แม้จะมีพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ฉบับใหม่ออกมาก็ตาม แต่ก็ไม่ต่างไปจากเดิมคือ หลายคนวิพากษ์ว่าเป็นแค่เสือกระดาษเท่านั้น เพราะไม่สามารถนำไปบังคับหรือควบคุมใครได้เลยแม้แต่รายเดียว แม้กระทั่งเรื่องราวใหญ่โตล่าสุดที่เกิดการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคก็ตาม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือไม่เคยเห็นพระราชบัญญัติดังกล่าวเอาผิดกับรัฐวิสาหกิจของไทยได้ เพราะมีการเขียนล็อกไว้ว่า รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ ผลประโยชน์ส่วนรวม หรือจัดให้มีสาธารณูปโภค
สรุปก็คือ มีพระราชบัญญัตินี้ไว้ ก็ได้แค่มีเหมือนเดิม แต่ไม่เคยบังคับใช้ได้จริงแม้แต่กรณีเดียว เพราะฉะนั้นก็จึงมีคำถามว่า แล้วจะมีพระราชบัญญัติที่ว่านั้นไปเพื่อเหตุผลอะไรมิทราบ
มีคำถามมากมายว่า ทำไมรัฐบาลยินยอมให้ผู้ประกอบการเพียงรายเดียวเข้าไปบริหารจัดการร้านค้าปลอดภาษีอากรในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเรื่องนี้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ไม่เคยตอบให้กระจ่าง แถมยังดูเสมือนเลี่ยงการตอบคำถามมาโดยตลอด
นอกจากนี้ยังมีคำถามอีกว่าทำไมรัฐบาล คสช.อนุมัติให้แก้สัญญาเช่าศูนย์การประชุมสิริกิติ์จากเดิม 25 ปี เป็น 50 ปี ให้กับเอกชนรายหนึ่งที่ทุกคนรู้ดีว่าเป็นเจ้าของเบียร์ช้าง โดยไม่เปิดประมูลใหม่
และยังมีเรื่องที่กรุงเทพมหานครให้บริษัทกรุงเทพธนาคมได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการย้ายสายโทรคมนาคม สายเคเบิลต่างๆ ที่พาดผ่านจนรกกรุงเทพลงใต้ดิน แต่ขนาดมีการผูกขาดเช่นนี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถนำสายต่างๆ ที่รกไปทั่วกรุงเทพฯลงใต้ดินได้หมดสิ้น
สิ่งที่กล่าวในข้างต้นนั้นคือข้อเท็จจริงที่ทุกคนรับรู้ และรัฐบาลเองก็รับรู้ ส่วนนายทุนที่ได้รับประโยชน์ไปเพียงผู้เดียวก็รับรู้เป็นอย่างดี แต่แม้จะมีคนรู้เช่นเห็นชาติชัดเจนถึงเพียงนี้ บ้านเมืองของเราก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นการผูกขาดได้
ยิ่งล่าสุดก็เจอกับการรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคอีก คำถามคือคนไทยจะต้องทนทรมานและเสียประโยชน์ กับการถูกบังคับให้ต้องทนใช้บริการจากกลุ่มเอกชนที่ผูกขาดการให้บริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันไปอีกนานเพียงใด
หน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนจะมีปัญญาทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้หรือไม่
การผูกขาดการทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ถือได้ว่าเป็นการแสวงหากำไรที่ไม่เป็นธรรมต่อทั้งผู้บริโภคและคู่แข่งทางการค้า ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่สามารถผูกขาดการทำธุรกิจได้ก็จึงมีอำนาจในการสร้างกำไรมหาศาลได้โดยไม่เป็นธรรม เพราะสามารถขึ้นราคาค่าบริการได้ตามอำเภอใจ และไม่จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพการให้บริการใดๆ อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีคู่แข่งทางการค้าอีกแล้ว ดังนั้น เขาจึงสามารถขูดรีด ขูดเลือดขูดเนื้อผู้ใช้บริการได้ตามที่เขาจะต้องการ หากรัฐบาลไม่มีปัญญาจัดการแก้ปัญหาการผูกขาดในเชิงธุรกิจได้ ก็เท่ากับรัฐบาลเป็นตัวการให้เกิดการขูดเลือด ขูดเนื้อประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี