นายสงวน พงษ์มณี สส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีเตรียมเสนอร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. …. มีหลักเกณฑ์รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงกลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง ได้สิทธิวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa ภายใต้เงื่อนไขต้องมีจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในธุรกิจหรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใด และต้องดำรงการลงทุน ไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยการลงทุนในกองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ถึงจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ (400 ตารางวา) ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง
นายสงวนกล่าวว่า ในฐานะของคนไทยคนหนึ่งขอแสดงความไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าว เพราะการกระทำของรัฐบาลไม่ต่างจากการขายแผ่นดินไทยให้กับคนต่างชาติ ปัญหาที่รัฐบาลจำเป็นต้องขายแผ่นดินไทยเพื่อแลกกับการลงทุน มองว่าเป็นนโยบายที่จนแต้มและจำเป็นต้องทำเพื่อนำเงินมาลงทุน หวังว่าชาวต่างชาติจะนำเงินมาลงทุน แต่รัฐบาลไม่เคยออกมาอธิบายว่าเหตุใดต้องยกแผ่นดินไทยให้กับชาวต่างชาติ
สส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การออกนโยบายนี้ เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด ออกนโยบายเอื้อให้กับเอกชนที่ขายบ้านไม่ออก ปัจจุบันไม่มีคนมาลงทุน ดังนั้น เมื่อออกนโยบายเช่นนี้มาคิดว่า จะช่วยผู้ประกอบการได้จริงหรือไม่ เพราะไม่มีหลักประกันใดเลยว่าชาวต่างชาติจะมาซื้อ ต่างจากนโยบายในอดีตที่ผ่านมาที่เอาที่ดินให้นักลงทุนชาวต่างชาติ เช่าเพื่อผลิตสินค้าส่งไปขายประเทศต้นทาง ถูกโจมตีว่าขายชาติ แต่การที่เขาเอาเงินมาฝากเพื่อการลงทุนแค่ 40 ล้าน กลับให้สิทธิกับชาวต่างชาติมีอำนาจเหนืออธิปไตยของไทยมันคุ้มกันหรือไม่
“นโยบายของรัฐบาลเป็นการขายแผ่นดินไทยให้กับคนต่างชาติ ต่างจากการเช่าเพื่อการลงทุน เพราะการเช่าเมื่อหมดเวลาเช่าเขาก็ต้องคืนที่ดินให้กับไทย แต่นโยบายดังกล่าวรัฐบาลยกที่ดินให้เขาไปเลย การที่รัฐบาลไทยปล่อยให้ใครก็ได้ที่มีเงินมาซื้อที่ดินในประเทศไทยไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดต้องร่วมรับผิดชอบกับนโยบายยกที่ดินให้กับคนต่างชาติ ซึ่งพรรคฝ่ายค้านพร้อมเปิดโปงขบวนการยกแผ่นดินให้ต่างชาติอย่างแน่นอน” นายสงวน ระบุ
ใครรู้จักนายสงวน ช่วยสะกิดเตือนเขาหน่อยได้ไหมครับว่า กฎกระทรวงว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. …. ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ เป็นการยกร่างเพื่อปรับปรุงกฎกระทรวงเดิมที่ออกตั้งแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีการปรับปรุงเกณฑ์บางส่วน ฉะนั้นทุกสิ่งที่นายสงวนกล่าวมา คือ การด่า หรือ “การตบหน้า”ทักษิณ ชินวัตร โดยตรงเลย
ถ้าครั้งนี้ “ขายชาติขายแผ่นดิน” อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ก็ “ขายชาติขายแผ่นดิน” มาก่อนแล้วสินะครับ
รัฐบาลในขณะนั้น ก็คือพรรคไทยรักไทย ถ้าตอนนั้นนายสงวนเป็นสมาชิก และเป็น สส.ของพรรคดังกล่าวด้วยละก็ จะเข้าข่ายนายสงวนได้ “ร่วมกันขายชาติขายแผ่นดิน” ด้วยไหมครับ
ให้ต่างด้าวซื้อที่ดินได้รายละ 1 ไร่ ถามว่าต้องซื้อกันกี่คนครับ จึงจะเรียกว่า ขายชาติขายแผ่นดิน”
กว่าจะซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ ต้องมีคุณสมบัติที่จะได้วีซ่าแบบ “อยู่ยาว” ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์การพิจารณาของกระทรวงการต่างประเทศ, ต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยถึง 40 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนระยะยาวไม่ต่ำกว่า 3 ปี มีเมียคนไทยสักคน เพื่อให้มีบ้าน มีที่ดิน ยังง่ายกว่านี้อีก ว่าไหมครับ
ขายชาติ ขายแผ่นดินกินนี่ สมมุติว่าสัก 100 ไร่ คนที่จะซื้อได้ ต้องนำมาเงินมาลงทุนรวมกันถึง 4,000 ล้านบาท เลยนะครับ ภาษีที่เราจะได้รับ เพื่อเอามากระจาย
ไปยังกระทรวงต่างๆ เท่าไรครับ ไหนจะต้องจับจ่ายใช้สอยเมื่อซื้อที่ดินและอยู่อาศัย
ตอนรัฐบาลทักษิณทำ คุณสงวนได้ตำหนิอย่างที่ออกมาตำหนิคราวนี้ไหมครับ?
กล่าวโดยทั่วๆ ไป ไม่ได้เจาะจงลงมาที่เรื่องนี้แล้ว ผมว่าทักษิณนี่เป็นคนน่าสงสารอยู่ประการหนึ่ง คือมีบริวารเป็นพิษ
พิษที่สำคัญเกิดจาก “สติปัญญา” ที่มีปัญหานั่นเอง
เศร้าใจแทนประชาชนนะครับ ผมเชื่อว่า ประชาชนร้อยทั้งร้อย คงไม่อยากมี สส.โง่ๆ ให้อับอายคนจังหวัดอื่น ไม่อยากมีสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติโง่ๆคอยกลั่นกรองกฎหมาย พิจารณากฎหมาย และเสนอกฎหมายแน่ๆ ครับ
ดังนั้น ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง กรุณาตรวจสอบ “สติปัญญา” ก่อนเลือกให้เป็น สส. ให้ดีๆ ควรพิจารณาไตร่ตรองก่อนกาบัตรลงคะแนนให้ใคร ถ้าประชาชนพร้อมใจกันเลือกอย่างมีสติเช่นนั้น น่าจะยืดโอกาส “บรรลัย” ให้แก่ชาติบ้านเมืองของเราได้นะครับ
ผมเองได้สรุปเรื่องนี้ไว้ ในเฟซบุ๊ค “ปู จิตกร บุษบา” ว่า...
เพื่อความเข้าใจตรงกัน
1.ชื่อกฎหมายนี้ คือ ร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว
2.เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ด้วยการสร้างเงื่อนไขดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
3.“กฎกระทรวง” (Ministerial Regulation) เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรประเภทหนึ่งของประเทศไทยซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตราขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ หรือแห่งกฎหมายที่มีฐานะเสมอกัน มิสามารถออกอย่างเลื่อนลอยไร้อำนาจได้
4.รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เป็นผู้รักษาอำนาจตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีกระทรวงนั้นๆ ออกกฎกระทรวงได้ จะเป็น “ผู้เสนอร่างกฎกระทรวง” ต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสามารถใช้ร่างกฎกระทรวงนั้น ไปประกาศเป็นกฎหมายได้
โดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
5.ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เสนอโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, ขณะนี้คณะรัฐมนตรีเพียง “อนุมัติหลักการ” เท่านั้น จากนี้ไป กระทรวงมหาดไทยจะต้องส่งร่างดังกล่าวไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย จึงยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ยังไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน หรือสร้างอุปาทานหมู่ให้เกิดขึ้น แค่มีคำถามอะไรที่ยังคาใจก็ตั้งเป็นประเด็นไว้ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเขาได้ตอบให้เข้าใจไปพร้อมๆ กัน
5.หากได้บังคับใช้ จะมีอายุการบังคับใช้เพียง 5 ปีหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อครบ 5 ปี จะต้องมีการทบทวน ที่สามารถยกเลิก หรือปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม แล้วใช้งานต่อก็ได้
6.สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นการกำหนดกลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ที่สามารถได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่
(1) กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง
(2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ
(3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย
(4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
7.การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ของคนทั้ง 4 กลุ่มที่ว่า ต้องเริ่มจากการได้สิทธิวีซ่าพำนักระยะยาวหรือ LTR Visa ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในธุรกิจหรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใด และต้องดำรงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
8.จากนั้นจึงจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน “เพื่ออยู่อาศัย” ไม่เกิน 1 ไร่ (400 ตารางวา) ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง (จึงไม่ต้องกลัวว่าจะไปแย่งที่ดินทำกินของชาวไร่ ชาวนา เกษตรกร)
9.สามารถ “ขออนุญาต” ขายที่ดินพร้อมบ้านให้คนไทยหรือชาวต่างชาติที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับสิทธิตามกฎหมายด้วย
10.การให้สิทธิในการถือครองที่ดิน จำกัดเฉพาะ “การใช้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย” รายละไม่เกิน 1 ไร่ หากได้รับสิทธิครบ 1 ไร่ แล้ว แม้จะมีการลงทุนเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ก็จะไม่สามารถขอใช้สิทธิขอมีที่ดินเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ หากชาวต่างชาติรายใดไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้จัดการจำหน่ายที่ดินนั้นได้
จากมาตรการที่ว่า จะนำมาซึ่ง...
เงินลงทุนในประเทศไทยขั้นต่ำ 40 ล้านบาท/รายและภาษีที่เกี่ยวข้อง
การจับจ่ายใช้สอยระหว่างการพำนักอยู่ในประเทศไทย
ความรู้หรือทักษะใหม่ๆ ที่จะได้รับการถ่ายทอด
เป็นต้น
เมื่อทราบรายละเอียดดังนี้แล้ว ท่านยังมีข้อกังวล หรือเห็นจุดอ่อน ข้อบกพร่องในส่วนไหน ก็เสนอแนะได้ด้วยท่าทีสุภาพ เราไม่ได้จะเอาเป็นเอาตาย เราแค่ต้องการให้กฎหมายรัดกุมที่สุด และเป็นประโยชน์ที่สุดต่อคนไทยและประเทศไทยของเรามิใช่หรือ
ถามว่า มีประเด็นอะไรที่ยังน่าสงสัยหรือยังน่ากังวลบ้างไหม, มีครับ อาทิ
1.เมื่อถอนการลงทุน หรือลงทุนครบ 3 ปีแล้ว ไม่ลงทุนต่อ สิทธิในการพำนักในประเทศไทยกับกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นจะจัดการอย่างไร ส่งต่อให้ทายาทได้หรือไม่
2.จะเกิดการซื้อที่ดินไว้เก็งกำไรหรือไม่
3.จะมีกระบวนการตรวจสอบคัดกรองกันอย่างจริงจังแค่ไหน ว่า เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจริง
4.ตั้งแต่มีกฎหมายนี้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ จนถึงปัจจุบัน มีผู้มีคุณสมบัติและใช้สิทธินี้เพียง 8 รายเท่านั้น ครั้งนี้จะมีแรงจูงใจอะไรเพิ่มเติม ให้คนเข้ามาลงทุนและใช้สิทธินี้อย่างจริงจัง และมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ประเทศ
5.เมื่อคนเหล่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มเกษียณอายุมาพำนักในประเทศไทย ระบบสาธารณสุขและอื่นๆที่ต้องรองรับด้วย จะกระทบต่อการรับบริการของคนไทยหรือไม่
6.จะมีกระบวนการตรวจสอบและกวาดล้างนอมินีทั้งหลายด้วยหรือไม่
เห็นไหมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งด่าทอกันอย่างบ้าคลั่ง เสียสติ แต่สามารถถกเถียง ตั้งคำถามกันได้อย่างคนมีการศึกษา มีมารยาท มีสันดานดี และฝ่ายที่มีหน้าที่ตอบ ก็ควรชงคำถามขึ้นมาเอง แล้วก็ตอบเสียให้กระจ่าง เพื่อลดความกังวลระแวงลง
เท่านี้ เรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รอบคอบ และปลอดโปร่งโล่งใจกันได้...ทุกฝ่ายทุกคน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี