การแพทย์แบบตะวันตกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแพทย์แผนปัจจุบันของไทยนั้น ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีแพทย์ชาวต่างชาติคือ
คุณหมอ “บรัดเลย์”เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งทำให้ การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาแทนที่การแพทย์แผนไทยซึ่งมีอยู่มาอย่างยาวนาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องมีโรงพยาบาลที่ให้การรักษาประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยวิธีการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน พระองค์จึงโปรดให้มีการก่อสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งแรกของประเทศไทยด้วย โดยได้จัดตั้งขึ้นมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๑ พระราชทานนามว่าโรงศิริราชพยาบาล โดยส่วนของโรงเรียนแพทย์ที่ได้เปิดสอนตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ ๒๔๓๓ นั้น ได้พระราชทานนามว่าศิริราชแพทยากร
ต่อมา ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชบิดาแห่งการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย คือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้ทรงพัฒนายกระดับมาตรฐานทางวิชาการแพทย์และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเข้าสู่มาตรฐานสากล
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๖๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเจริญเติบใหญ่จนถึงวัยที่จะเข้ารับการศึกษาชั้นสูง พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษายังต่างประเทศ เริ่มต้นจากโรงเรียนแฮร์โรว์กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วย้ายไปศึกษาต่อวิชาทหารบกที่โรงเรียนนายร้อยชั้นต้นเมืองพ็อทซ์ดัม ประเทศเยอรมนี และโรงเรียนนายร้อยชั้นสูงที่เมืองเบอร์ลิน ทรงมีความสามารถในการศึกษาเล่าเรียนและผ่านการสอบในปีสุดท้ายโดยทำคะแนนได้สูงสุดจากผู้ที่เข้าสอบประมาณ ๔๐๐ คน หลังจากนั้นพระองค์ได้เข้าศึกษาวิชาทหารเรือ ณ โรงเรียนนายเรือเฟล็นส์-เมือร์วีค จบหลักสูตรด้วยผลการศึกษาขั้นดีเยี่ยมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
พระองค์ได้เสด็จกลับมาประทับที่เมืองไทยช่วงหนึ่ง โดยเข้ารับราชการในตำแหน่งนายเรือโท กรมเสนาธิการทหารเรือ ต่อมาได้ทรงลาออกเพื่อไปศึกษาวิชาสาธารณสุข ที่มหาวิทยาลัย
ฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาชั้นปรีคลินิก ก่อนที่จะเสด็จกลับมาเมืองไทย และได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ พระองค์ได้เสด็จไปศึกษาวิชาแพทย์อีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาได้ปริญญาแพทยศาสตร์เกียรตินิยม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ และเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่แพทย์ตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา โดยไปปฏิบัติงานครั้งแรกที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่
พระองค์ได้มีพระราโชวาทที่ให้ไว้กับแพทย์และวงการแพทย์ของไทยเนื่องในแต่ละวาระ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติและเป็นธรรมะในการดำเนินชีวิตให้ประสบแต่สิ่งที่เป็นมงคล ดังตัวอย่างที่สำคัญ ๗ พระราโชวาท ดังนี้
“เวลาเป็นของมีค่า เมื่อมันล่วงไปแล้วมันจะไม่กลับมาอีก ถ้าเรามีโอกาสใช้มันให้เป็นประโยชน์แล้วเราไม่ใช้มันก็น่าเสียดาย” พระราโชวาทนี้ตรัสสอนต่อนิสิตเตรียมแพทย์ปริญญารุ่นที่ ๑
“พวกเธอทั้งหลาย การเล่นเป็นของดี การเรียนนั้นก็เป็นของดีและสำคัญ แต่การที่จะให้ดีกว่านั้น คือคนที่เรียนก็ดีและเล่นก็ดีด้วย” พระราโชวาทนี้ตรัสสอนต่อนิสิตเตรียมแพทย์ปริญญารุ่นที่ ๒
“อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวยควรเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ อาชีพแพทย์ต้องยึดมั่นในอุดมคติ คือเมตตา กรุณา” พระราโชวาทนี้ตรัสสอนนิสิตเตรียมแพทย์ปริญญารุ่นที่ ๒
“ขอให้ท่านถือสุภาษิตว่า ใจเขาใจเรา ท่านอยากได้ความสบายแก่ตัวท่านอย่างไร ก็ควรพยายามให้ความสบายแก่คนไข้อย่างนั้น” เป็นพระราโชวาทถึงสมาชิกสโมสรการแพทย์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ความจริงเป็นยาอันประเสริฐ ได้ผลคือความเชื่อ ถ้าท่านหลอกคนไข้แล้ว ท่านก็ต้องรักษาเขาได้หนเดียว” พระราโชวาทถึงสมาชิกสโมสรการแพทย์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” พระราโชวาทประทานแก่นายแพทย์สวัสดิ์ แดงสว่าง
“ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอ มีความรู้ทางแพทย์อย่างเดียว ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นคนด้วย” พระราโชวาทตรัสสอนนิสิตเตรียมแพทย์ปริญญารุ่นที่ ๑
สมเด็จพระราชบิดาทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการพัฒนาวงการแพทย์ สาธารณสุข การพยาบาล วิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งการอุดมศึกษาของไทยเป็นอันมาก โดยทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์เพื่อขอรับการช่วยเหลือด้านการศึกษาวิชาแพทย์ พยาบาล และ อื่นๆ ของไทยให้ทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศ ทรงพระราชทานทุนส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเสด็จกลับจากการปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค พระองค์ทรงมีพระอาการประชวร ประทับอยู่ที่พระตำหนักวังสระปทุม แต่แม้กระนั้นก็ทรงมีพระราชหฤทัยห่วงโรงพยาบาลศิริราชโดยทรงติดตามถามไถ่เกี่ยวกับโรงพยาบาลศิริราชเสมอมา และถึงแม้พระองค์จะได้รับการถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่พระอาการก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒
พระราโชวาททั้งหลายของสมเด็จพระราชบิดานั้นมีคุณค่ามหาศาล ไม่ใช่เฉพาะแต่แพทย์เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง พยาบาลและบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขทั้งหลาย
สำหรับแพทย์นั้นการเดินตามรอยพระยุคลบาท ย่อมเป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต และจะทำให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ตามมาตรฐานของการรักษา ที่ยึดโยงไว้ด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
การสอบสวนคดีความที่มีผู้ร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยรายหนึ่งที่ได้เข้ารับการรักษาที่ชั้น ๑๔ ของโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อระยะประมาณ ๑ ปีเศษที่ผ่านมานี้ โดยผู้ป่วยรายนั้นเป็นนักโทษที่ต้องคดีทุจริตคอร์รัปชั่นเงินของประเทศชาติ และถูกศาลสั่งจำคุกจากหลายคดีความเป็นเวลา ๘ ปี แต่ได้ขอพระราชทานอภัยโทษจากองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงมีพระเมตตาอภัยลดโทษให้เหลือจำคุกเพียง ๑ ปี แต่เมื่อถึงวันที่จะต้องเข้ารับโทษนั้น ได้อ้างการเจ็บป่วย และทางกรมราชทัณฑ์ก็ได้นำนักโทษผู้นี้เข้ารับการรักษาแบบเร่งด่วน ด้วยว่าอาการเจ็บป่วยนั้นรุนแรง วิกฤต ที่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยอ้างว่าห้องผู้ป่วยพิเศษ VIP ชั้น ๑๔ นั้นมีความพร้อมเทียบเท่าห้อง ICU ที่จะรักษาผู้ป่วยอาการหนักได้ โดยได้เข้าพักรักษาอย่างต่อเนื่องในห้องนี้ เป็นระยะเวลาประมาณ๖ เดือน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย เพราะเมื่อคนไข้อาการดีขึ้นแล้ว น่าจะกลับเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ได้
จากข้อมูลทั้งหมดของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่นำมาสู่คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดพิเศษนั้น หลังจากได้พิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว มีความเห็นว่ามีแพทย์ 1 คน ประกอบวิชาชีพและเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน สมควรได้รับการตักเตือน และแพทย์อีก ๒ คนให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง ข้อมูลที่ได้รับพบว่าไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤตเกิดขึ้น ตัดสินให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
สำหรับอาการที่เข้าข่ายภาวะฉุกเฉินวิกฤตนั้นกระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ให้หมายถึง ๖ กลุ่มอาการ ดังนี้
หมดสติไม่รู้สึกตัวไม่หายใจ หายใจเร็วหอบเหนื่อยรุนแรง ซึมเหงื่อแตกตัวเย็น เจ็บหน้าอกเฉียบพลันรุนแรง แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดชักต่อเนื่อง และอาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจการไหลเวียนเลือดและระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ถึงแม้นักโทษผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมหาศาล แต่แพทย์ที่เป็นอนุกรรมการสอบสวนและกรรมการแพทย์สภาทุกท่าน ได้ตัดสินคดีนี้โดยอาศัยข้อมูลที่มี ยึดมาตรฐานแห่งวิชาชีพ และการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรักษา ว่าเป็นไปตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ ด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ที่ได้สะสมไว้ตลอดชีวิตของความเป็นแพทย์ ในการพิจารณาตัดสินคดี โดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรได้รับการชมเชยและยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ขอสดุดี
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี