ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำคัญสูงสุดของคณะรัฐมนตรี เพราะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายบริหารของประเทศหรือรัฐที่มีการปกครองตามระบบรัฐสภา หรือกึ่งประธานาธิบดี
สำหรับประเทศไทย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้าของฝ่ายบริหารตามระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีรัฐสภา นายกรัฐมนตรีจึงมีตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล หัวหน้าคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน ตำแหน่งนี้ต้องได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วรวม 29 คน (นับจากหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475-ปัจจุบัน) ส่วนนายกรัฐมนตรีรายใดได้รับความนิยม เชื่อถือ ศรัทธามากหรือน้อย ก็เป็นสิ่งที่คนไทยต่างประจักษ์เป็นอย่างดีนายกรัฐมนตรีรายใดชั่วช้าสามานย์จนต้องหลบหนีคดีอาญาแผ่นดินไประเหเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่นอกพระราชอาณาจักรไทย ประเด็นนี้คนไทยก็ทราบดีเช่นกัน
อ้างตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุในมาตรา 158 วรรคสาม ว่า นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้กำหนดว่านายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีจึงไม่จำเป็นต้องเป็น สส. แต่สาระสำคัญอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรต้องให้ความเห็นชอบ
มาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง
คราวนี้เรามาพูดถึงกรณีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งครั้งหน้า (คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางปี 2566) สิ่งที่คอการเมืองไทยติดตามอย่างใกล้ชิด (ด้วยการคาดเดา) ก็คือ ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะยังคงเป็นประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ หรือจะเป็นประวิตร วงษ์สุวรรณ
หรือจะเป็นอนุทิน ชาญวีรกูล หรือจะเป็นแพทองธาร ชินวัตรหรือจะเป็นเศรษฐา ทวีสิน หรือใครต่อใครอีกมากมายตามที่แต่ละคนจะคาดเดากันไป
มีผู้ตั้งคำถามว่า ทำไมจึงมีผู้เชื่อเอาเองว่าแพทองธาร ชินวัตร ลูกคนสุดท้องของทักษิณ ชินวัตร จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย เมื่อมีคำถามนี้ ก็ทำให้มีผู้ตอบว่า เพราะเมืองไทยเคยมีปรากฏการณ์ประหลาดมาแล้ว เมื่อครั้งนี้นายกรัฐมนตรีชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะเมื่อยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ แล้วทำไมแพทองธาร จะเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างไม่ได้ เนื่องจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ใครต่อใครก็สามารถเป็นได้
เมื่อพูดคำว่า นายกรัฐมนตรีไทย ใครต่อใครก็สามารถเป็นได้ ก็ทำให้ดูเสมือนว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่เปิดกว้างให้ใครต่อใครสามารถเข้าไปครอบครองได้ ซึ่งในมุมหนึ่งก็นับว่าเป็นการเปิดกว้างและให้อิสรเสรีกับการแข่งขันเพื่อเข้าไปยึดครองตำแหน่งดังกล่าว
แต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็ทำให้เห็นว่า ตำแหน่งนี้ไม่มีความสลักสำคัญอะไรมากนัก เพราะใครต่อใครก็สามารถเป็นได้ ซึ่งหมายความว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ความหมายอะไรมากนัก เพราะไม่ว่าใครๆ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ลองพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะอยู่ๆ ก็มีชื่อเศรษฐาทวีสิน นักธุรกิจผู้ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์จะเป็นนายกรัฐมนตรี
การที่มีชื่อของใครต่อใครมากมายถูกสังคมกล่าวว่าจะไปเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ต้องตั้งคำถามจริงๆ จังๆ ว่า ตกลงแล้วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยเป็นตำแหน่งที่เปิดกว้างให้คนทั่วไปจริงๆ หรือ หรือว่าในความเป็นจริงแล้ว เป็นตำแหน่งที่ถูกกำหนดตัวไว้โดยกลไกของอำนาจรัฐ และอำนาจทุน
ดูเป็นเรื่องน่าประหลาดมิใช่น้อยที่พรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตร จะให้ข่าวเป็นระยะๆ ว่าจะส่งแพทองธาร และเศรษฐา เป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนไม่เคยเป็น สส.มาก่อน แต่สำหรับแพทองธารนั้นไม่จำเป็นต้องเป็น สส.เพื่อไทยมาก่อน เนื่องจากเป็นลูกเจ้าของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นเมื่อเจ้าของพรรคสั่งการอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่คนในพรรคเพื่อไทยไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะสมาชิกพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องเชื่อฟังเจ้าของพรรค หากไม่เชื่อฟังเจ้าของพรรคก็หมายความว่าอยู่พรรคนี้ไม่ได้
แต่มีคำถามว่า ทำไมเศรษฐาจึงกลายเป็นข่าวว่าจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในนามเพื่อไทย เศรษฐา มีบุญคุณประการใดกับพรรคเพื่อไทยหรือ หรือว่าเศรษฐาเป็นผู้มีบารมีในพรรคเพื่อไทย จนทำให้เจ้าของพรรคเพื่อไทยไม่ปฏิเสธข่าวเรื่องเศรษฐาจะเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เรื่องความเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงระหว่างเศรษฐากับทักษิณ หรือเศรษฐากับแพทองธาร หรือเศรษฐากับเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไป แต่สิ่งที่ไม่ต้องวิเคราะห์คือเศรษฐามักตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นข่าวการเมืองอยู่เป็นประจำเมื่อมีการพูดถึงพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครเคยได้ยินชัดๆ จากปากของทักษิณว่าวางตัวเศรษฐาไว้สถานะใดในพรรคเพื่อไทย ต้องย้ำว่ายังไม่มีใครได้ยินเรื่องราวของเศรษฐากับตำแหน่งสำคัญในพรรคเพื่อไทย ยกเว้นเพียงแต่ว่าเศรษฐาบอกผ่าน social media ว่า ตนเองอยู่เพื่อไทย แต่อยู่ในสถานะอะไร ไม่เห็นเศรษฐาอธิบายเรื่องนี้ให้ชัด
แต่ถึงกระนั้นหลายคนที่ติดตามเรื่องราวการเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะได้ยินเรื่องราวบางแง่บางมุมของเศรษฐา กับเพื่อไทยมาเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่เคยปรากฏชัดว่าเศรษฐาประกาศตัวเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยจนกระทั่งมีข่าวว่าเศรษฐาได้ตกเป็นข่าวว่าถูกเสนอตัวชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในนามเพื่อไทย ก็จึงพบข่าวว่าเศรษฐาประกาศตัวว่าอยู่เพื่อไทย แต่ก็ต้องย้ำเหมือนเดิมว่า ยังไม่เคยได้ยินทักษิณ ผู้เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยพูดถึงเศรษฐาชัดๆ
มีคำถามอีกว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงจงใจปล่อยข่าวเป็นระยะๆ ว่าจะส่งแพทองธารและเศรษฐาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคู่กัน การปล่อยข่าวเช่นนี้หมายความว่าจะให้ใครเป็นตัวชู แล้วให้ใครเป็นตัวตาม
ถามต่อไปว่า แพทองธารมีผลงานด้านการเมืองเป็นที่ประจักษ์ต่อกลุ่มคนผู้คลั่งไคล้ทักษิณหรือไม่ ตอบว่าไม่มีเลย แต่เนื่องจากแพทองธาร คือ ลูกทักษิณ ดังนั้น คนที่คลั่งไคล้ทักษิณก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เห็นว่าเป็นลูกทักษิณก็ไม่ต้องตั้งคำถามอะไรอีกต่อไป คงจำได้ดีกับเรื่องที่สังคมเคยวิจารณ์ว่า พรรคของทักษิณนั้นต่อให้ส่งเสาไฟฟ้าลงชิงตำแหน่ง สส. เสาไฟต้นนั้นก็ได้เป็น สส. ดังนั้น แค่เห็นนามสกุลของทักษิณเท่านั้น สาวกของทักษิณก็๋ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว
แต่ต้องไม่ลืมว่าคนที่ไม่ชอบรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยข้ออ้างว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร แม้ประยุทธ์จะยืนยันหนักแน่นว่าการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีล่าสุดนั้นมาจากกระบวนการสรรหาโดยรัฐสภาก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งเรื่อง สว. 250 เสียง ที่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ โดยฝ่ายที่ไม่ปลื้มประยุทธ์ยังคงตอกย้ำว่า สว. 250 เสียงนั้น มาจากการแต่งตั้งของประยุทธ์ และคนในกลุ่มประยุทธ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
เพราะฉะนั้น ประยุทธ์จึงถูกวิพากษ์และถากถางตลอดเวลาว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งผิดกับยิ่งลักษณ์ ที่ถูกคณะรัฐประหารที่นำโดยประยุทธ์โค่นลงไป เนื่องจากยิ่งลักษณ์ถูกมองว่ามาจากการเลือกตั้ง จึงเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงของประชาชน
สำหรับเศรษฐาเองนั้นกล่าวมาโดยตลอดทั้งเวลาพูดกับสื่อฯ หรือโพสต์ลงใน social media ว่า ประยุทธ์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เสริมส่งภาพลักษณ์ของประชาธิปไตย และวิจารณ์ด้วยว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีโลก เพราะผู้นำ (หมายถึงประยุทธ์) ไม่ได้นำประเทศไทยไปยืนบนเวทีโลก และบอกว่าผู้นำของไทยคนต่อไปต้องนำประเทศไทยไปสู่เวทีโลกได้
เศรษฐาเป็นคนที่ชนชั้นกลางของประเทศไทยรู้จักค่อนข้างดี เนื่องจากทำธุรกิจบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมระดับราคาค่อนไปทางกลางสูงถึงสูงมากพอสมควรมาเป็นระยะเวลา 2-3 ทศวรรษ แต่ชื่อของเศรษฐาไม่เป็นที่รู้จักของคนจำนวนมากที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะคนที่ทักษิณเรียกว่ารากหญ้า ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่รากหญ้าจะไม่รู้จักเศรษฐาเพราะเศรษฐาไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับรากหญ้า เนื่องจากธุรกิจที่เศรษฐาดำเนินอยู่นั้นไม่ได้มีกลุ่มลูกค้าเป็นคนรากหญ้า
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าของพรรคเพื่อไทยจึงไม่เอ่ยชื่อเศรษฐาตรงๆ และไม่เคยบอกชัดๆ ว่าเศรษฐาจะได้รับการวางตัวเป็น candidate ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย แต่ถึงกระนั้นทักษิณก็ไม่เคยปฏิเสธชื่อของเศรษฐาเพราะทักษิณรู้ว่าชนชั้นกลางรู้จักชื่อเสียงของเศรษฐาดีมาก รู้จักดีกว่าชื่อของแพทองธารด้วยซ้ำไป ทักษิณรู้ด้วยว่าชื่อแพทองธารในแวดวงชนชั้นกลางนั้นค่อนข้างเป็นลบ เนื่องจากภาพลักษณ์เดิมๆ ของแพทองธารไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเรื่องการสอบเข้าเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดังนั้นการที่ทักษิณยอมให้ประกอบชื่อของเศรษฐากับแพทองธารจึงเป็นเรื่องที่คอการเมืองเข้าใจได้ เพราะหากทักษิณประกาศชัดเจนให้ตัดชื่อเศรษฐาออกไปจากสารบบของพรรคเพื่อไทย ก็หมายความว่าพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคที่เป็นสมบัติส่วนตัวของทักษิณไปโดยปริยาย (ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นสมบัติของทักษิณมาโดยตลอด) ดังนั้นการติ่งชื่อเศรษฐาไว้ จึงน่าจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย (ในสายตาคนชั้นกลางบางรายที่ไม่ชอบประยุทธ์) ได้รับความนิยมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกเหมือนเดิมว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงมองว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยนั้น เป็นเรื่องที่ดูจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะว่าใครต่อใครก็สามารถจะถูกดันขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีบทบาททางการเมืองมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูจากกรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ประกาศตัวลงสนามการเมืองเพียง 40 กว่าวัน ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้สังคมไทยเชื่อว่าใครๆ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยได้อย่างไร เพราะมันมีตัวอย่างชัดๆ ให้ประจักษ์แจ้งมาแล้ว ส่วนการที่ใครต่อใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วทำให้ประเทศไทยดีขึ้นหรือเลวลง เรื่องนี้คนไทยรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจ แต่รู้แล้วจะเข็ดจะหลาบจำหรือไม่ ก็แล้วแต่ระดับความคิด และระดับสติปัญญาของปัจเจก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี