ในยามนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีไทยคนล่าสุดมีพฤติกรรมเข้าข่ายขายชาติ เพราะนำความลับของชาติไปไขให้ฮุนเซนรับรู้ และยังมีพฤติกรรมสามานย์ด้วยการประกาศว่าตนเองเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทหารไทย อย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีมีสถานภาพเป็นผู้นำการเมืองสูงสุดของประเทศ แต่กลับประกาศให้ฝ่ายตรงข้ามของประเทศไทย หรือศัตรูของประเทศไทยรู้ว่าทหารไทยเป็นคนละฝ่ายกับนายกรัฐมนตรี แต่ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือนายกรัฐมนตรีไทยดันประกาศกับศัตรูของประเทศว่า ตนเองเป็นฝ่ายเดียวกัน หรือเป็นพวกเดียวกันกับศัตรูของประเทศ
หากใครจะปฏิเสธว่าฮุนเซน แห่งกัมพูชา ไม่ใช่ศัตรูของประเทศไทย ก็ขอให้แสดงตัวให้ชัดเจน เพราะอยากรู้เหตุผลว่าทำไมจึงมองว่าฮุนเซนไม่ใช่ศัตรูของประเทศไทย ทั้งๆ ที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจนำเรื่องพรมแดนของไทยไปฟ้องศาลโลก แล้วกัมพูชายังระดมยิงจรวด ปืนใหญ่ และอาวุธสงครามเข้าใส่ฝั่งไทย จนทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก บ้านเรือนทรัพย์สินข้าวของทั้งของประชาชนและของราชการเสียหายพินาศย่อยยับจนยังไม่สามารถประเมินค่าความเสียหายได้
ก่อนอื่นต้องถามย้ำว่าแพทองธาร ชินวัตร ผู้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยทำหน้าที่นี้โดยยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่าใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ถามย้ำว่าแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ จริงหรือ
สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในทางกฎหมาย เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประมุขของฝ่ายบริหารของประเทศ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญสูงสุดหนึ่งในสามของหลักการแบ่งอำนาจการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีในการปกครองของไทยนั้นแบบผู้มีอำนาจในการปกครองทางการเมืองออกเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และประมุขฝ่ายตุลาการ
สำหรับอำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ถือเป็นองค์กรฝ่ายบริหารสูงสุดของรัฐบาล มีหน้าที่บังคับการต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บทของประเทศ และตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังมีความสำคัญในทางการเมือง เพราะตำแหน่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจการเมืองที่ทำหน้าที่บริหารและบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง โดยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี จึงนับได้ว่าเป็นบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์กรที่มีอำนาจบริหารประเทศ โดยปฏิบัติหน้าที่ตามแนวนโยบายแห่งรัฐ และตามแผนยุทธศาสตร์ของชาติตามที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติเรื่องคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีไว้ในหมวด 8 มาตรา 158-183 โดยกล่าวถึงองค์ประกอบ คุณสมบัติ และเงื่อนไขก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง และระบุว่าโดยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงใช้ผ่านคณะรัฐมนตรี รวมถึงระบุหลักการรับสนองพระบรมราชโองการ และ ระบุเรื่องเงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทน แล้วสำหรับในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2560
ขอยกประเด็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ซึ่งมีดังนี้
(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี
(3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
(6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
(7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษเว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
(8) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญยังกำหนดข้อห้ามว่า ห้ามข้าราชการและพนักงานของรัฐซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นมิได้ ระบุไว้ในมาตรา 181 นั่นคือ รัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ว่าต้องไม่เป็นข้าราชการและพนักงานของรัฐที่มีเงินเดือนประจำ หรือข้าราชการการเมืองอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ที่ระบุว่าต้องไม่เป็นบุคคลต้องห้าม ที่ถูกห้ามใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีที่เข้าลักษณะตาม (1)-(18) เช่น
มาตรา 98 (12) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง
มาตรา 98 (13) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
มาตรา 98 (14) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี
มาตรา 98 (15) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
แต่ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของการเป็นรัฐมนตรีว่าต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีอาจมาจากผู้ที่ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ เช่นเดียวกับกรณีของนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังกำหนดคุณสมบัติผู้จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพิ่มเติมไว้ในมาตรา 112 กล่าวคือ บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกินสองปี จะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมิได้ เว้นแต่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงคือ มาตรา 160 กำหนดคุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้คือต้องมีคุณสมบัติซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ส่วนใครก็ตามที่วิจารณ์ว่าข้อกำหนดนี้เป็นรูปธรรมมากเกินไป ไม่สามารถวัดได้อย่างชัดเจน ก็นับเป็นข้ออ้างที่ใช้เพื่อแก้ตัวสำหรับรัฐมนตรีที่จงใจกระทำผิดข้อห้าม แต่ก็แถไถไปตามความหยาบหนาของผิวหน้าเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแม้เรื่องนี้จะดูเป็นนามธรรม แต่สำหรับคนที่เคร่งครัดในหลักศีลธรรม จรรยา และหลักจริยธรรมโดยเคร่งครัดย่อมไม่มีข้อสงสัยหรือคำถามเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
ผู้เขียนมั่นใจว่าผู้อ่านบทความนี้ต้องได้ฟังบทสนทนาระหว่างแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา (และยังมีอีกหลายตำแหน่งสำคัญของกัมพูชา) หลายครั้งแล้ว คำถามคือฟังแล้วตอบได้ไหมว่า แพทองธารสนทนากับฮุนเซน เพื่อวัตถุประสงค์ใด
ขอให้พิจารณาบทสนทนานี้อีกครั้ง แพทองธารบอกฮุนเซนว่า “ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอเป็นฝั่งนั้น ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”
และอีกบทสนทนาคือ “เพราะตอนนี้ทางนั้นเขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ แต่ว่าจริงๆ ที่เราต้องการ คือต้องการความสงบสุขให้เกิดขึ้นเหมือนตอนก่อนที่จะปะทะกันตรงชายแดนค่ะ”
และขอให้อ่านบทสนทนานี้ “ถ้าท่านฮุนเซน อยากได้อะไรก็ให้บอก จะได้คุยกันได้ ตกลงกันได้ เพราะว่าบางทีที่ท่านโพสต์เฟซบุ๊กออกมา คืออิ๊งค์ รัฐบาลสั่นคลอนที่สุดแล้วค่ะ ตั้งแต่อิ๊งค์เป็นนายกฯ มา ก็คือเรื่องกัมพูชานี่แหล่ะ อิ๊งค์ไม่ออกมาตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เพราะอิ๊งค์ก็รักและเคารพท่าน เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วถ้าจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าวก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไปมันหลุดเพราะสื่อฯ ไม่ได้คุยกับอิ๊งค์แค่สองคน มันคุยกันเป็นกลุ่ม มันเลยหลุด แต่ว่าคุยกับอิ๊งค์สองคนมันไม่มีหลุดอยู่แล้ว ทีนี้ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้”
ในช่วงท้ายการสนทนาของคนทั้งสอง สรุปได้ว่า แพทองธารบอกฮุนเซนว่าจะนำเรื่องที่ฮุนเซนบอกมาไปคุยกับกระทรวงกลาโหมของไทยก่อน และจะกลับมาแจ้งฮุนเซนให้รับทราบในวันหน้า โดยแพทองธารรับปากว่าสามารถจัดการตามที่ฮุนเซนบอกได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอให้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน แล้วจะแจ้งกลับมา
ขอย้ำว่าตั้งใจฟังแล้วอ่านบทสนทนาระหว่างแพทองธารกับฮุนเซนหลายๆ ครั้ง แล้วคุณจะตอบตัวเองได้ว่า แพทองธารสนทนากับฮุนเซนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยจริงหรือ แล้วคุณจะเข้าใจด้วยว่า ทำไมบทสนทนานี้จึงถูกระบุว่าแพทองธารขายชาติ แต่คำถามสำคัญคือ หากใครก็ตามไม่จำเป็นต้องเป็นนายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมขายชาติ ถามว่าพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ คำถามสุดท้ายคือ แล้วยิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรมขายชาติ แบบนี้คนไทยจะยังยอมรับได้อีกหรือ เรายอมให้นายกรัฐมนตรีขายชาติได้ ใช่หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี