5 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9)
เป็นวันชาติไทย และเป็นวันพ่อแห่งชาติ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.9) ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตรการชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรทั่วประเทศ
ในยามประเทศประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในหลวง ร.9 ได้พระราชทานแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้ใช้ดำเนินชีวิตและบริหารจัดการอย่างสมเหตุสมผล มีความเข้มแข็งและมั่นคงในชีวิต
1. ในช่วงเปลี่ยนรัชกาล หลังเหตุการณ์สวรรคต ปรากฏว่า มีคนบางกลุ่มเหิมเกริม แบ่งหน้าที่กันทำงาน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ปลุกระดม ปลุกปั่น ป้อนข้อมูลเท็จ ข้อมูลบิดเบือน ปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบัน ยุยงส่งเสริมให้เยาวชนเคลื่อนไหวจาบจ้วงดูหมิ่น ดูแคลน ด้อยค่า บูลลี่ เพื่อลดทอนคุณค่า หวังทำให้สถาบันอ่อนแอ เจตนาเพื่อมุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
ในช่วงดังกล่าว จึงเกิดคดี 112 มากมายนั่นเพราะมีคนยุยงปลุกปั่น จนทำให้มีการกระทำผิดจำนวนมาก
และคนที่ยุยงปลุกปั่นนั่นเอง ก็เอาจำนวนคดีมาเคลื่อนไหว อ้างว่าใช้ ม.112 กับคนคิดต่าง ต้องยกเลิกแก้ไข
2. เมื่อคดี 112 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาล จนกระทั่งมีคำพิพากษาออกมาเป็นลำดับ ก็ปรากฏชัดเจนว่า ผู้ที่ถูกดำเนินคดีและต้องคำพิพากษาว่ามีความผิดนั้น ไม่ใช่แค่คิดต่าง แต่เจตนาดูหมิ่นข่มขู่อาฆาตพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำร้ายแรง และบิดเบือน ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยหลายคดีพยายามจะรับสารภาพ เนื่องจากจำนนอับจนหนทางต่อสู้คดี ไม่มีข้อมูลหลักฐานใดๆ รองรับคำกล่าวหาใส่ร้ายได้เลยแม้แต่น้อย เพราะข้อมูลที่ได้รับมามีแต่ข่าวลือ ความเชื่อ เรื่องเล่า “เขาว่ากันว่า” – “คนทำงานในวังบอกว่า” ไม่มีหลักฐานเลย
หลายกรณีเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบยืนยันแล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ หรือเฟคนิวส์
บางราย ไปแสดงความเห็นรุนแรงในโพสต์ของ “Pavin Chachavalpongpun” ในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” ซึ่งต้นทางเป็นผู้หลบคดีไม่รับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ เลย
บางราย กล่าวคำปราศรัยให้ร้ายเกี่ยวกับการปกครองของไทย พาดพิงใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ เพราะไปฟังไปเชื่อความคิดเห็นของผู้นำความคิดบางกลุ่ม โดยที่คนเหล่านั้นไม่กล้าขึ้นไปพูดจาปราศรัยด้วยตนเอง เพราะรู้แก่ใจว่ามันเป็นความผิด จึงยุยงปลุกปั่นลวงหลอกให้คนที่หลงใหลตนเองกระทำการดังกล่าวแทน
บางราย พูดจาให้ร้ายรุนแรง โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงพระนามของกษัตริย์พระองค์ใด เพราะได้รับคำแนะนำแบบผิดๆ สุดท้าย ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก ไม่รอลงอาญา
บางราย พูดจาให้ร้ายในหลวง ร.9 ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง แล้วพยายามต่อสู้ว่าหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบของมาตรา 112 แต่สุดท้าย ศาลพิพากษาว่ามีความผิด
3. อันที่จริง การดูหมิ่น หมิ่นประมาทองค์พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว เข้าข่ายความผิด ม.112 มิใช่เรื่องแปลกใหม่เลย เพราะศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาวางบรรทัดฐานไว้นานแล้ว
ยกตัวอย่าง กรณีจำเลยกล่าวข้อความในลักษณะดูหมิ่น ให้ร้าย ร.4
คดีนี้ ศาลอาญาพิพากษาว่า “มีความหมายเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท ดูหมิ่นรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในอดีต เปรียบเทียบว่ายุคของพระองค์เหมือนต้องไปเป็นทาส ไม่มีความเป็นอิสระมีการปกครองที่ไม่ดีทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 4 เสื่อมเสียพระเกียรติเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ... พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดลงให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควร เป็นเวลา 12 ชั่วโมง..”
ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
จากนั้น ศาลฎีกา มีคำพิพากษาฎีกาที่ 6374/2556 ลงโทษตามศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกา บางตอนระบุว่า
“…ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์...”
บทบัญญัติดังกล่าว มิได้ระบุว่า พระมหากษัตริย์จะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งยังครองราชย์อยู่ในขณะกระทำความผิดหรือไม่ และก็มิได้ระบุว่าพระมหากษัตริย์ที่ถูกกระทำจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังคงครองราชย์อยู่ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า บทบัญญัติดังกล่าวอยู่ในลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร แสดงให้เห็นว่า แม้การกระทำความผิดจะกระทบต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท เพียงพระองค์เดียว ย่อมมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สร้าง เริ่มตั้งแต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนกระทั่งระบอบประชาธิปไตยซึ่งอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนก็ตาม แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพสักการะ ให้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ เป็นจอมทัพไทย กฎหมายที่ผ่านรัฐสภาโดยฝ่ายนิติบัญญัติ การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้ง การดำรงตำแหน่งกระทำโดยการสืบสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล ทำให้พระมหากษัตริย์จะสืบทอดทางสันตติวงศ์ทางสายพระโลหิตต่อกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชวงศ์จักรีตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชต้นราชวงศ์ตลอดมาจนกระทั่งรัชกาลปัจจุบัน ประชาชนในประเทศจึงผูกพันกับพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นที่เคารพสักการะ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจึงบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือ บุคคลใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้
ด้วยเหตุนี้ การที่กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์จะต้องครองราชย์อยู่เท่านั้น ผู้กระทำจึงจะเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112แม้จะกระทำต่ออดีตพระมหากษัตริย์ซึ่งสวรรคตไปแล้ว ก็ยังเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว การหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ก็ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ยังคงครองราชย์อยู่ ดังจะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นพระอัยกาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลปัจจุบัน (ร.9) หากตีความว่า พระมหากษัตริย์ต้องเป็นองค์ปัจจุบันที่ยังทรงครองราชย์อยู่ ก็จะเป็นช่องทางให้เกิดการละเมิด หมิ่นประมาท ให้กระทบต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันได้ ดังได้กล่าวในเบื้องต้นมาแล้วว่า ประชาชนชาวไทยผูกพันกับสถาบันกษัตริย์มาตลอด แม้จะเสด็จสวรรคตไปแล้ว ประชาชนก็ยังเคารพสักการะ ยังมีพิธีรำลึกถึงโดยทางราชการจัดพิธีวางพวงมาลาทุกปี ดังนั้น หากมีการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว ก็ยังกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน อันจะนำไปสู่ความไม่พอใจ และอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรได้...”
สุดท้าย ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
4. ตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในปัจจุบัน การวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์สามารถทำได้อยู่แล้วเช่นเดียวกับการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงโดยสุจริต แต่การวิพากษ์เพื่อให้ร้าย ด้อยค่า ดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ ย่อมไม่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะรัชกาลปัจจุบัน หรือพระมหากษัตริย์ในอดีต หากการกระทำนั้น มีการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว ก็ยังกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของประชาชน อันจะนำไปสู่ความไม่พอใจ และอาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรได้ อาจเข้าข่ายผิด ม.112
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็อย่าทำ แม้ว่าทำแล้วจะได้รับผลประโยชน์รางวัลจากใคร หรือคิดว่าเท่ หรือหัวก้าวหน้า
หากไม่ทำ ย่อมไม่เกิดปัญหา และไม่เดือดร้อนกับ ม.112
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี