ผีตองเหลืองเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าและธรรมชาติชนเผ่านี้ ไม่สร้างที่อยู่ถาวร พวกเขาตัดใบตองจากกล้วยป่ามาเป็นที่คุ้มแดดคุ้มฝนขณะใบตองยังสดเป็นสีเขียวมันคุ้มแดดคุ้มฝนได้ดี แต่พอใบตองเป็นสีเหลืองแห้งกรอบกันแดดกันฝนไม่ได้ ถึงตอนนั้นชนกลุ่มนี้ก็ย้ายที่อยู่ใหม่หาใบตองเขียวมาคุ้มแดดคุ้มฝนต่อไป
ยังไม่มีนักสิทธิมนุษยชนและนักเสรีประชาธิปไตย กลุ่มไหนทำการวิจัยว่า ทำไมผีตองเหลืองไม่หาใบตองสดสีเขียวมาเปลี่ยนแทนที่จะย้ายที่ใหม่ทุกครั้งที่ใบตองเป็นสีเหลือง อุปมาเหมือนกับนักการเมืองไทยที่ย้ายพรรคได้ถี่ๆเหมือนผีตองเหลืองย้ายที่อยู่ พรรคการเมืองเหมือนต้นไม้ในป่าการเมืองที่มีนักการเมืองผีใบตองเหลืองอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ เพียงแค่เห็นใบไม้เปลี่ยนสียังไม่ทันผลัดใบนักการเมืองผีตองเหลืองก็ย้ายหนีไปอยู่ใต้ต้นไม้อื่นแล้ว แต่การย้ายต้นไม้ของนักการเมืองผีตองเหลือง คงไม่ใช่เพราะไม้ต้นนั้นกันลมกันแดดไม่ได้
สาเหตุใหญ่ที่นักการเมืองต้องย้ายจากไม้ต้นหนึ่งไปสู่ต้นไม้อีกต้นในป่าการเมือง อาจเป็นเพราะว่า นักการเมืองมักง่ายขับถ่ายเรี่ยราดรอบโคนต้นไม้จึงอยู่นานไม่ได้ เพราะกลิ่นเหม็นมันแรงมากขึ้นต้องย้ายไปอยู่ใต้ร่มไม้อื่นฉันใดก็ฉันนั้น ตัวอย่างที่เห็นชัดของนักการเมืองผีตองเหลืองที่ต้องย้ายพรรคเพราะทรยศหักหลังคิดล้มล้างเจ้านาย แต่ย้ายไปตั้งพรรคใหม่ได้ไม่นานสิ่งปรกโสโครกที่เคยทำไว้ตอนทำงานการเมืองให้พรรคใหญ่ที่ทำทิ้งไว้มันเหม็นฟุ้งกระจายไปทั่วป่าการเมือง สุดท้ายต้องทิ้งพรรคหนีหายไปจากป่าการเมือง
ถึงแม้นักการเมืองผีตองเหลืองตนนั้นได้จากป่าการเมืองแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่ที่ผีตองเหลืองถ่ายทิ้งไว้กองมหึมามันส่งกลิ่นเหม็นจนผีตองเหลืองการเมืองคนอื่นๆที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่วมกับมันต้องวิ่งหาที่อยู่ใหม่กันให้พล่านทั่วป่าการเมือง
ความจริงแล้วนักการเมืองผีตองเหลืองตัวที่แทงข้างหลังนายบ้าน มันแอบขับถ่ายใส่ไหซุกไว้ใต้โคนไม้เมื่อมีพายุลมแรงกิ่งไม้หักหล่นกระแทกไหอาจมแตกจนกลิ่นเหม็นเกินจะทนได้ ถึงขนาดเกิดวลีในป่าการเมืองว่า“ตู้ห่าว เอฟแฟกท์”
ผีตองเหลืองทางการเมืองที่หนีหายไปเพราะ “ตู้ห่าวเอฟแฟกท์” เป็นเพียงหนึ่งในร้อยของป่าการเมืองไทยที่อุดมไปด้วย “พรรคกล้วยด่าง กับผีตองเหลืองทางการเมือง
พรรคกล้วยด่างกับผีตองเหลืองทางการเมืองอยู่คู่กับประเทศไทยตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบรัฐสภาที่มักเรียกกันว่า ประชาธิปไตย
พรรคกล้วยด่างทางการเมืองมีตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ พรรคกล้วยด่าง คือ พรรคที่ปั่นกระแสให้เป็นที่นิยมขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนกับกล้วยด่างเมื่อพบเห็นใหม่ๆดูแปลกตาเพราะใบมันมีสีมีลายไม่เหมือนกับกล้วยทั่วไป คนหัวใสเลยปั่นราคากล้วยด่างขึ้นมาต้นละเป็นแสนเป็นล้านบาทแต่เวลาผ่านไม่นานชาวบ้านรู้ทันว่าเป็นการปั่นกระแสปั่นราคาขึ้นมา มันไม่ได้มีคุณค่าหรือมีประโยชน์ใดๆ กล้วยด่างเลยกลายเป็นอาหารหมู
จึงอุปมาพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งหรือเพื่อคนใดคนหนึ่งว่า “พรรคกล้วยด่าง” ซึ่งมักเป็นที่รวมของนักการเมืองผีตองเหลือง พรรคกล้วยด่างพรรคแรกของประเทศชื่อ“มนังคศิลา” ที่ตั้งขึ้นมาเป็นฐานการเมืองให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อจอมพล ป.สิ้นอำนาจก็มีพรรคชาติสังคม เกิดขึ้นมารองรับฐานอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สิ้นจอมพลสฤษดิ์ ก็มีพรรคสหประชาไทยจัดตั้งขึ้นมาเป็นฐานอำนาจให้จอมพลถนอม กิตติขจร พรรคสหประชาไทยก็ล่มสลายหลังจากนักศึกษา และประชาชนปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับสนามม้า เรียกได้ว่าเป็น รธน.ที่ร่างโดยประชาชนฉบับเดียวของประเทศไทยประกาศใช้ในปี ๒๕๑๗ มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งพรรคทุนนิยม พรรคอนุรักษ์นิยม พรรคฝ่ายซ้าย พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคแนวสังคมนิยม พรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ๒๔๘๙ ตอนก่อตั้งใหม่ๆ ฝ่ายเผด็จการขนานนามว่าเป็นพรรคนิยมเจ้า หลังจากเลือกตั้งปี ๒๕๑๘ถูกฝ่ายขวาเรียกว่าพรรคสังคมนิยมอ่อนๆ และหลังจากพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พรรคประชาธิปัตย์ ถูกนักการเมืองขวาจัด ตราหน้าว่า เป็นคอมมิวนิสต์ นายชวน หลีกภัย นายสุรินทร์มาศดิตถ์ และ นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ ซึ่งขณะนั้น เป็นคณะรัฐมนตรีรัฐบาล หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช ต้องหนีตาย เพราะถูกมวลชนฝ่ายขวา และเจ้าที่รัฐตามล่า(รายละเอียดเรื่องนี้ หาอ่านได้จากหนังสือ “เย็นลมป่า” ของ นายชวน หลีกภัย)
ยกเรื่องนี้มาเล่าเพื่อจะแจงให้เห็นว่า พรรคกล้วยด่างขาดตอนไป เมื่อพลเรือเอก สงัดยึดอำนาจปี ๒๕๑๙ ตั้งแต่นั้นมาประเทศไทยปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบจึงไม่มีพรรคกล้วยด่าง มีแต่พรรคอนุรักษ์นิยม คือพรรคประชาธิปัตย์ มีพรรคชาติไทย เป็นพรรคฝ่ายขวาพรรคกิจสังคม ออกไปทางเสรีนิยม และ พรรคประชากรไทยเรียกได้ว่า พรรคขวาจัด มีพรรคการเมืองไม่ถึงสิบพรรคแข่งขันกันในสนามการเมืองผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะเพราะว่าไม่มีพรรคกล้วยด่าง
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๓๕ พรรคกล้วยด่าง อุบัติขึ้นมาใหม่ คือ พรรคสามัคคีธรรม เพื่อรองรับ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคชาติไทยในปี ๒๕๓๔ พอพลเอกสุจินดาหมดอำนาจ พรรคสามัคคีธรรมก็ล่มสลายไปหลังผ่านเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว
หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองไทยเห็นพ้องต้องกันให้เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ในปี ๒๕๔๐ ด้วยความตั้งใจให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เป็นเสาหลักในระบอบรัฐสภาที่ทั้ง สส. และ สว.มาจากเลือกตั้ง แต่เป็นความโชคร้ายของประเทศไทยที่ได้รธน. พ.ศ. ๒๕๔๐ มาพร้อมกับพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ที่เข้ากอบโกยโกงกินผลาญชาติ อาฆาตพยาบาทสถาบันฯนานเกือบสองทศวรรษ
พรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ เหมือนพรรคผีปอบที่กินตับไตไส้พุงคนไทย มันถูกทำลายไปแล้วยังแปลงร่างใหม่ได้สืบทอดความเป็นพรรคผีปอบทางน้ำลายให้ทายาทผีปอบรุ่นใหม่อาละวาดกัดกินประเทศไทยอยู่ได้จนวันนี้
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๒๒ พ.ศ. ๒๕๒๗ ปรามพรรคผีปอบไปได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ พรรคผีปอบก็ฟื้นชีพขึ้นมาพร้อมๆ กับพรรคกล้วยด่าง ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฐานการเมืองให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อเนื่องหลังจากเลือกตั้งมีนาคม ๒๕๖๒ การตั้งพรรคกล้วยด่างครั้งนั้นจึงมี สส.ผีตองเหลือง และบริวารพรรคผีปอบแปรพักตร์มาอยู่กับพรรคกล้วยด่างยุคใหม่ แต่น่าเสียดาย ที่มีเปรตบริวารพรรคผีปอบแฝงตัวเข้ามาด้วยและเปรตสองหน้าตัวนี้แหละที่นำความวิบัติมาสู่พรรคกล้วยด่างที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับพลเอกประยุทธ์
โบราณว่าในร้ายมีดีในดีมีร้ายในท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายที่นักการเมืองผีตองเหลืองวิ่งหาที่อยู่ใหม่กันให้พล่าน มีพรรคใหม่เกิดขึ้นมาชื่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ประกาศอย่างแข็งขันว่าไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฐานการเมืองให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯหลังจากเลือกตั้งสมัยหน้าที่กำลังจะมาถึง
“พรรคเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจตั้งขึ้นมาเพื่อพลเอกประยุทธ์...” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการ รทสช.ตอบคำถาม นสพ.บางกอกโพสต์ในการให้สัมภาษณ์พิเศษบางกอกโพสต์รายงานเมื่อวันที่ ๖ ธ.ค. ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกดันขึ้นสู่สปอตไลท์การเมืองเมื่อมีการคาดหมายอย่างกว้างขวางว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาร่วมงานกับรวมไทยสร้างชาติและอ้างว่าพลเอกประยุทธ์พูดเมื่อวันที่ ๒๓ พ.ย.ว่า “กำลังพิจารณาอยู่”
นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า รทสช. ยินดีที่นักการเมืองจากปชป.หลายคนย้ายตามนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคมา“อย่างไรก็ตาม รทสช. ไม่ใช่พรรคสาขาของ ปชป.เราสร้าง รทสช.ขึ้นมาให้เปลี่ยนเป็นพรรคที่ฟังเสียงประชาชน เราจะทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจเพื่อจุดประสงค์ใดประสงค์หนึ่ง”นายเอกนัฏกล่าวว่า เขาเองมีความผูกพันกับ ปชป. อย่างลึกซึ้งมารดาคุณศรีสกุล พร้อมพันธุ์ เคยเป็น สส.ปชป. จ.นครราชสีมา ญาติๆหลายคนสนับสนุน ปชป. อย่างเหนียวแน่น อย่างไรก็ตามตนลาออกมาเพื่อหาโอกาศใหม่ใน รทสช
นายเอกนัฏบอกบางกอกโพสต์ว่า..”โดยส่วนตัวผมอยากให้พลเอกประยุทธ์มาร่วมงานกับ รทสช. ผมศรัทธา และเคารพในความเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในการบริหารและเกียรติภูมิของท่าน” เมื่อถามว่าพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฐานรองรับให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีมิใช่หรือ
นายเอกนัฏตอบว่า“เราเป็นพรรคใหม่ และจะต้องพิสูจน์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนในฐานะสถาบันการเมือง....เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพลเอกประยุทธ์” แต่นายเอกนัฏก็แสดงความมั่นใจว่าพลเอกประยุทธ์จะเป็นแคนดิเดตให้พรรครวมไทยสร้างชาติ
“หากพลเอกประยุทธ์จะไปต่อท่านต้องเปลี่ยนวิธีการ...อย่าอายที่จะพูดว่าคุณเป็นนักการเมือง ถ้าต้องทำงานการเมืองต่อไป เพียงแต่พูดให้ชัดเจนว่าคุณเป็นนักการเมือง เพื่อเข้ามาสู่การเมือง...ความนิยมในตัวท่านยังมีสูง แต่ยังมีบางอย่างขาดหายไปถ้าสามารถเติมเต็มได้
ทุกอย่างจะพัฒนาขึ้น”
เอกนัฏกล่าวว่า“เรามั่นใจว่าจะได้ สส. อย่างน้อย ๒๕ คนตาม รธน.กำหนดให้มีสิทธิ์เสนอรายชื่อนายกฯได้...ความนิยมพรรคเรามีมากในภาคใต้ ภาคกลางและตะวันตกถ้าได้พลเอกประยุทธ์และนักการเมือง ที่มีประวัติดีเข้าร่วมงานพรรคเราจะสมบูรณ์มากขึ้น”
อ่านคำสัมภาษณ์ที่ย้อนแย้งของนายเอกนัฏแล้วอนุมานได้ว่า พรรคกล้วยด่าง กับนักการเมืองผีตองเหลืองยังอยู่กับการเมืองไปอีกนาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี