ในช่วงระยะเดือนเศษมานี้ กระแสฟื้นฟูหลักประชาธิปไตยและกระแสการสืบทอดอำนาจได้กระพือโหมในทุกขอบเขตและในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพราะสภาพความเป็นจริงของบ้านเมืองขณะนี้เป็นที่รู้เป็นที่เข้าใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ แม้กระทั่งข้าราชการทั่วประเทศแล้วว่าภายใต้ชื่อระบอบประชาธิปไตยนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่หน้ากากให้กับปีศาจจำแลง
ดังนั้นกระแสประชาธิปไตยจึงไหลบ่าท่วมท้นไปทุกแห่งหน โดยเฉพาะในบรรดาเยาวชนคนรุ่นใหม่ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่จะมีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกเพิ่มขึ้นถึง 6 ล้านคน คิดเป็นจำนวน สส. ปาร์ตี้ลิสต์และ สส. เขตประมาณ 40 คน เสียงประชาชนกลุ่มนี้เทไปข้างไหนก็ย่อมมีผลต่อการเมืองของประเทศไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาแม้สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยจะเป็นแบบจำลองจำแลงหรือประชาธิปไตยแต่ชื่อก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นยามใดที่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ โดยเฉพาะในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะถือหลักประชาธิปไตยสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณีการปกครองไปแล้ว
นั่นคือการเคารพต่อเสียงของประชาชนซึ่งเป็นหลักการใหญ่ของระบอบประชาธิปไตย และด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจึงถือหลักให้พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งและมีคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หน้าที่นั้นก็จะตกไปสู่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นลำดับที่สอง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในการเลือกตั้งปี 2539-2540 เป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคความหวังใหม่และพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคความหวังใหม่เป็นพรรคหน้าใหม่ ได้รับเลือก 124 เสียง และพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือก 123 เสียง
ในขณะนั้นนายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท่านก็ได้ยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์แต่ไหนแต่ไรมา ประกาศยินยอมให้พรรคความหวังใหม่จัดตั้งรัฐบาลก่อน ทั้งๆ ที่ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ชิงจัดตั้งรัฐบาล ด้วยฝีไม้ลายมือเชิงชั้นระดับเซียนเหยียบเมฆของพลตรีสนั่นขจรประศาสน์ ดีไม่ดีพรรคประชาธิปัตย์อาจจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และนายชวน หลีกภัย ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ในที่สุดนายชวน หลีกภัย ก็ประกาศยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ยินยอมให้พรรคความหวังใหม่จัดตั้งรัฐบาลก่อนและประสบความสำเร็จหลักการที่ว่านี้ยังเป็นอุดมการณ์หรือหลักประชาธิปไตยที่ชาวพรรคประชาธิปัตย์ยังยึดมั่นอยู่หรือไม่ ประชาชนทั้งประเทศกำลังจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิด และเป็นเรื่องที่กำลังท้าทายพรรคประชาธิปัตย์ในยามบ้านแตกสาแหรกขาดอยู่ในปัจจุบันนี้
ผลการเลือกตั้งในปี 2562 ถ้าหากถือหลักประชาธิปไตยดังว่านี้ พรรคเพื่อไทยก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นลำดับที่หนึ่งไม่มีสิทธิ์และไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
เพราะมีขบวนการชิงจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นและดำเนินการเสร็จสิ้นไปตั้งแต่วันเลือกตั้งนั้นแล้วและผลจากการนั้นเป็นอย่างไร มาถึงวันนี้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศก็ได้รู้เช่นเห็นชาติกระจ่างแจ้งในใจทุกตัวคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวในรายละเอียดอีก
เพราะสภาพที่ปรากฏชัดเจนต่อทุกพรรคการเมืองและประชาชนชาวไทยทั่วประเทศดังกล่าวนั้นจึงทำให้พรรคการเมืองต่างๆ กำลังหวนกลับฟื้นหลักประชาธิปไตยกันอย่างกว้างขวาง
พรรคฝ่ายค้านทั้งหมดได้แสดงท่าทีและจุดยืนชัดเจนว่าพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกมากที่สุดเป็นพรรคที่มีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน การชิงจัดตั้งโดยพรรคที่มีเสียงน้อยเป็นการละเมิดหลักประชาธิปไตยและเหยียบหน้าประชาชน
ท่าทีดังกล่าวได้รับการตอบสนองจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและบรรดาผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพบ้านเมืองให้พ้นจากกลียุคทุกข์เข็ญ จึงแสดงออกโดยผลโพลล์ของทุกสำนักโพลล์แม้กระทั่งโพลล์รับจ้างก็ไม่อาจฝืนกระแสของประชาชนได้ จำเป็นต้องยอมออกโพลล์ตรงกันหมดว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้
ส่วนพรรคก้าวไกลนั้นก็ชัดเจนแน่นอนในหลักประชาธิปไตย ได้ประกาศก่อนใครว่าไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดที่ประชาชนไม่ได้มอบฉันทามติ โดยเลือกให้มีจำนวน สส. จำนวนมากที่สุด
ต่อมาพรรคภูมิใจไทยโดยแกนนำหลายคนก็ได้แสดงท่าทีนี้ไปในทางเดียวกัน กระทั่งกล้าเอ่ยนามถึงพรรครวมไทยสร้างชาติว่าถ้าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล หัวหน้าพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดจะต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคที่มีเสียงน้อยก็อาจได้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีไปตามระบอบประชาธิปไตย
ในวันที่มีการบรรยายพิเศษเรื่องการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 20 ที่โรงแรมแชงกรี-ล่า แกนนำสำคัญของพรรคเพื่อไทยก็ได้กล่าวไปในทางเดียวกันว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งนี้ต้องเคารพประชาชน พรรคที่มีคะแนนเสียงมากจะต้องจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคนั้นจะต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคที่มีคะแนนเสียงน้อยเป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาล
ผู้แทนพรรคการเมืองต่างๆ ที่ไปร่วมงานดังกล่าวก็ได้กล่าวในลักษณะเดียวกันตรงกันราวกับนัดหมายกันไว้
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าหลักการประชาธิปไตยกำลังทอแสงเจิดจ้าในบ้านเมืองของเรา ซึ่งต้องดูว่าพวกลัทธิประชาธิปไตยจำแลงยังจะดื้อรั้นต่อไปอย่างไร และจะมีใครทรยศต่อประชาชนอีกบ้าง!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี