บรรพบุรุษของพวกเราเป็นหมอช้าง เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วขุนกอบ คีรีกิจ (อินทร์ วรรณบวร) จับช้างป่า มาฝึกเลี้ยงใช้งาน ใช้ในพิธีกรรม และ เป็นพาหนะในการเดินทาง “ขุนกอบ” มีช้างไว้ในครอบครอง 7 เชือก ดังนั้นทุกเทศกาลทำบุญเดือนสิบเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ พวกเราถือโอกาสทำบุญให้ช้างด้วย หลานปู่ของทวดขุนกอบ ที่ยังมีชีวิตอยู่ บอกว่า พวกเราต้องทำให้ช้าง เพราะปู่ทวดขุนกอบสั่งไว้ว่า ช้างมีบุญคุณต่อตระกูลเรา ถึงแม้ปัจจุบัน ยังมีเหลนขุนกอบเลี้ยงช้างเพียงหนึ่งเชือกไว้ใช้สำหรับงานในพิธีมงคลเท่านั้นแต่พวกเราทำให้บุญช้างทุกปี
ผู้เขียนจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจ เมื่อสื่อตะวันตก ที่มีอคติต่อ พลเอกมิน อ่อง หล่าย เสนอข่าวในเชิงเหยียดหยามเยาะเย้ย ถากถาง ที่ พลเอกมิน อ่อง หล่าย
ให้ความสำคัญกับ “ช้างเผือก” ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าได้มาจากรัฐยะไข่
สำนักข่าวเอเอฟพีเสนอข่าว เนื่องในวันครบรอบ 75 ปี ที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษว่า...“แม้รัฐบาลทหารพม่าจะเป็นที่รังเกียจแก่ผู้คนทั่วโลกแม้พม่าจะถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลกและต่อสู้กับการต่อต้านการปกครองในประเทศแต่รัฐบาลทหารก็พบเหตุ ให้มองโลกในแง่ดีได้นั่นคือการกำเนิดของช้างเผือกหายาก”
นับตั้งแต่ยึดอำนาจ รัฐบาลทหารบดขยี้การชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย จำคุกนางออง ซาน ซู จี และถูกกล่าวหาว่า รัฐบาลทหารพม่าก่ออาชญากรรมสงครามในความพยายามที่จะปราบปรามผู้เห็นต่าง แต่การกำเนิดของ “ช้างเผือกในรัฐยะไข่” เมื่อปลายปีก่อน กำลังถูกสื่อของรัฐบาลทหารพรรณนาว่า เป็นเรื่องโชคดี
การปกครองในสมัยโบราณถือว่าช้างเผือก เป็นสิ่งมงคลอย่างยิ่ง และ การปรากฏตัวขึ้นของช้างเผือกนี้#ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการเมืองอันชอบธรรม สื่อของทางการพม่าระบุว่า ช้างเผือกเชือกนี้จะปรากฏรูปอยู่บนดวงตราไปรษณีย์ชุดพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปี ที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ รวมถึง การหล่อเหรียญทองคำที่ระลึกรูปช้างเผือก เนื่องในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย ได้ตั้งชื่อให้กับลูกช้างเผือกว่า “รัฐนันทกะ” ซึ่งมาจากคำภาษาบาลีโบราณ ที่แปลว่า ประเทศและความสุข และเพื่อสนับสนุนความโชคดีที่เพิ่งค้นพบ สื่อของรัฐยังยืนยันว่าช้างเผือกมีสายเลือดที่ไร้ที่ติ ตามการระบุของผู้เชี่ยวชาญ ช้างดังกล่าวมีลักษณะตรงตามมาตรฐานของช้างเผือก7 ใน 8 ประการ ซึ่งรวมถึง ตาสีมุก และหลังโค้งลาดคล้ายก้านกล้วย ในพม่าที่มีการวาดแผนภูมิโหราศาสตร์ หรือดวงชะตาตอนเกิด และมีหมอดูให้คำปรึกษาทั้งเรื่องชีวิตประจำวันและเรื่องการเมือง
ความนิยมในช้างเผือก ก็มีมานานหลายร้อยปีแล้วเช่นกัน
ช้าง 2 เชือก ที่เคยอยู่ในความดูแลของรัฐบาลเผด็จการทหารชุดก่อน เวลานี้ถูกขังไว้ในพื้นที่ชื้นแฉะและห่างไกลจากผู้คนในนครย่างกุ้ง ที่มีคนเดินทางมาเยี่ยมพวกมัน
เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วน ช้าง “รัฐนันทกะ” จะอยู่ในพื้นที่พิเศษสำหรับช้างเผือก ในกรุงเนปิดอว์ แต่ด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงเต็มไปด้วยการสู้รบ และรัฐบาลทหารถูกประณามอย่างกว้างขวาง ช้างเผือกของพวกเขา จึงเผชิญกับความกังขาและคำดูหมิ่นดูแคลนจากสาธารณชน
“เหมือนกับว่าพวกเขาลืมทาครีมกันแดดให้ ตอนนี้มันดำแล้ว” ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งโพสต์ถึงลักษณะของลูกช้าง ที่ออกสีเทามากกว่าสีขาวเผือก“ไม่ว่าจะขาวหรือดำ ลูกช้าง ก็กลายเป็นผู้ต้องขังแล้ว”ผู้ใช้งานอีกรายหนึ่งกล่าวสำทับ
นี่คือธรรมชาติของฝรั่งตะวันตก ที่มีอคติดูหมิ่นดูแคลนว่าประเทศตะวันออกป่าเถื่อน และใช้ข้ออ้างว่าประเทศตะวันออกปกครองแบบป่าเถื่อน เหมือนกับที่อังกฤษใช้เป็นข้ออ้างในการปล้นพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์คองบองแห่งราชอาณาจักรพม่า
กองทัพอังกฤษส่งกองทัพ ที่มีแสนยานุภาพ และอาวุธทันสมัยกว่า เข้ายึดครองพม่าได้แล้ว อังกฤษก็ควบคุมตัวพระเจ้าธีบอ และ พระนางศุภยลัต ลงเรือ “ทอเรียะ”(Thooreah) เมื่อเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายนปีพุทธศักราช 2428 ไปกักขังไว้ยังบ้านหลังเล็กๆ ในชนบทห่างไกลของเมืองรัตนคีรี ประเทศอินเดีย กระทั่งสวรรคตโดยไม่ได้กลับมายังแผ่นดินพม่า อีกเลย
และหนึ่งเดือนต่อมา ช้างเผือกคู่บารมี ของพระเจ้าธีบอก็ล้มลง อาจเป็นไปได้ว่าช้างแสนรู้ตรอมใจตาย หรือไม่ก็อังกฤษทำให้ช้างเผือกคู่บารมีพระเจ้าธีบอล้ม เพราะอังกฤษทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวกับราชวงศ์เพื่อให้ชาวพม่าลืมสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเขา
อังกฤษและนักล่าอาณานิคมตะวันตกต้องการทำลายทุกอย่างที่ประเทศในสุวรรณภูมิ ถือว่าเป็นบุญบารมี ในสมัยโบราณผู้คนในสุวรรณภูมิ คือ ลาว พม่า กัมพูชาและสยาม ถือว่าช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและบุญบารมี ดังที่หงสาวดีเปิดฉากสงครามช้างเผือกกับอยุธยา เนื่องจากพระเจ้าบุเรงนอง หรือ บายินนอง ในภาษาพม่า มีพระราชประสงค์จะแผ่อำนาจเหนือราชอาณาจักรสยามจึงแสร้งขอช้างเผือกสองช้างจากพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
เมื่อทางราชสำนักอยุธยาเห็นว่าการขอช้างเผือกเป็นกุศโลบายทางการเมืองของหงสาวดี หากให้ช้างเผือกไปเท่ากับอยุธยาเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดี พระเจ้าบุเรงนอง เมื่อทราบว่าอยุธยาแข็งเมืองก็ส่งกองทัพอันมหึมาเข้ารุกรานปิดล้อมอยู่นานจนอยุธยาเห็นท่าจะเพลี่ยงพล้ำ พระเจ้าบุเรงนองจึงทรงมีพระราชสาส์นให้พระมหาจักรพรรดิทรงเลือกจะรบให้รู้แพ้รู้ชนะหรือเลือกสงบศึก โดยพระมหาจักรพรรดิทรงเลือกสงบศึก อยุธยาจึงต้องยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพม่า โดยมอบช้างเผือกให้แก่พม่า 4 ช้าง มอบบุคคลที่คัดค้านไม่ให้ส่งช้างเผือกแก่พม่า เมื่อครั้งก่อนสงครามช้างเผือกได้แก่พระราเมศวร พระราชบุตรในพระมหาจักรพรรดิ ต่อมา พระเจ้าบุเรงนอง ขอพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ พระราชบุตรของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ในวัยเก้าชันษา ไปเป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย (เป็นตัวประกัน)
และเมื่อร่ำเรียนฝึกฝนกลวิธีรบแกร่งกล้าหกปีต่อมา พระองค์ดำก็ทรงประกาศอิสรภาพให้อยุธยาไม่ขึ้นกับหงสาวดีต่อไป นั่นเป็นที่มาของ “สงครามยุทธหัตถี” เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2135 ระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงหงสาวดี ผลของสงครามครั้งนั้น ปรากฏว่าอยุธยาเป็นฝ่ายชนะ ถึงแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่า
สงครามครั้งนี้ มีความโดดเด่นในการต่อสู้ระหว่าง พระนเรศวรกับอุปราชมังกะยอชวา สงครามนี้เป็นการปลดปล่อยสยาม จากการครอบครองของพม่าต่อไป เป็นระยะเวลา 175 ปี จนถึง พ.ศ. 2310 เมื่อพระเจ้าพยูชินบุกตีสยาม ซึ่งส่งผลให้การปกครองอยุธยาสิ้นสุดลง
ทั้งหมดเป็นเรื่องย่อความสำคัญของ ช้างเผือก ที่เป็นสัญลักษณ์ของบุญบารมี และกุศโลบายซึ่งตะวันตกไม่มีวันเข้าใจว่า ที่พลเอกมิน อ่อง หล่าย ให้ความสำคัญกับช้างเผือก ถึงกับทำตราไปรษณีย์ในวาระครบรอบ 75 ปีที่ได้รับเอกราช สร้างเหรียญทองคำไว้เป็นที่รำลึก และกล่าวว่า เป็นช้างมงคลที่ส่งบุญบารมีให้ความชอบธรรมในการปกครองพม่า
เนื่องจากพลเอกมิน อ่อง หล่าย ประเมินสถานการณ์ว่า กลุ่มประเทศตะวันตกสนับสนุนรัฐบาลเงาและสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารฝ่ายนางออง ซาน ซู จี โดยการส่งอาวุธ ส่งปัจจัยมาช่วยฝ่ายต่อต้านมากแค่ไหนก็สู้แสนยานุภาพอันเกรียงไกรของกองทัพพม่าไม่ได้
ในทางการเมืองตะวันตกจะคว่ำบาตร รณรงค์ให้ประชาคมโลกรับรองรัฐบาลเงาของนางออง ซาน ซู จีอย่างไร พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก็ไม่สนใจ ตราบใดที่ จีนรัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ และประเทศอื่นๆ ยังให้การสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมประเทศในสุวรรณภูมิที่สนับสนุนพม่า แต่ไม่ออกหน้า ให้ตะวันตกรณรงค์สร้างกระแสข่าว ปลุกระดมปั่นหัวชาวโลกให้ตาย ก็สู้พลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ได้ นี่คือบุญบารมี ที่ฝรั่งไม่เข้าใจ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี