บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่ชาวบ้านชอบเรียกว่า“บัตรลุงตู่”
เป็นหนึ่งในโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยโดยตรง ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลคุณสมบัติของผู้ที่มาลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 จำนวน 19.64 ล้านรายชื่อ เพื่อให้มีความถูกต้องครบถ้วน สมบูรณ์ โดยระหว่างนี้ ผู้ที่ถือบัตรอยู่เดิมก็ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ของโครงการต่อไปตามปกติ
น่าสนใจว่า สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง รัฐบาลหน้า จะดำเนินโครงการนี้ต่อหรือไม่?
1. พลเอกประยุทธ์ ประกาศบนเวทีพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จังหวัดชุมพร ชัดเจนว่า ถ้าได้เป็นนายกฯ จะสานต่อ และต่อยอดโครงการนี้ต่อๆไปอีกอย่างแน่นอน
พลเอกประวิตร ประกาศเป็นนโยบายประเดิมของพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือในบัตรประชารัฐสานต่อโครงการต่อไปอีกอย่างแน่นอน
เท่ากับว่า ถ้ารวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล ก็จะเดินหน้าสานต่อโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแน่ๆ
2. พรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ต่างวิพากษ์วิจารณ์ หยามหยัน ด้อยค่า โจมตีโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาโดยตลอด
น่าสงสัยว่า จะสานต่อโครงการนี้หรือไม่? จะมีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยการโอนเงินตรงเข้าบัญชีแบบนี้หรือไม่?
พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ควรประกาศชัดๆต่อประชาชน ให้ได้รับทราบชัดเจน
ถ้ายังทำต่อ ก็เท่ากับว่า ที่ผ่านมา เล่นเกมโจมตีรัฐบาลในเรื่องนี้ เพียงเพราะกลัวฝ่ายฝ่ายรัฐบาลได้รับความนิมจากประชาชนเท่านั้นเอง
3. ในอดีต พรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ชินวัตร เคยนำเอาการลงทะเบียนคนจนมาหาเสียงเพื่อล่อเอาคะแนนจากชาวบ้าน แล้วก็ไม่ลงมือทำจริงมาแล้ว
นายเสนาะ เทียนทอง อดีตผู้จัดการรัฐบาลทักษิณ เคยแฉไว้ ว่าด้วยเรื่องการจดทะเบียนคนจน
“...ผมเคยแนะนำว่า “ทำไม่ได้นะ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ การประกาศสงครามความยากจน แต่เอาเขามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ แต่ไม่ใช่คนจนก็มาจดทะเบียนด้วยนะมันจะบานปลายกันไปใหญ่ น้องไปให้เขาจดทะเบียนพี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันได้แต่ตัวเลขมาโชว์ตอนเลือกตั้งแต่หลังจากนั้นมันไม่มีผลจริง”
แต่ทักษิณบอกว่า “โธ่...พี่เหนาะคนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ”
ปรากฏว่า พอทักษิณได้มีอำนาจเป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้ทำการช่วยเหลือคนจนที่ลงทะเบียนไว้ตามที่หาเสียง
ไม่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือโดยตรงแบบที่นายกฯ ลุงตู่ทำจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา
นับเป็นภาพสะท้อนเล่ห์เหลี่ยมการแสวงหาอำนาจรัฐของพรรคการเมืองทักษิณ
4. ปัจจุบัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรลุงตู่ มีการเบิกจ่ายโอนเงิน อะไรบ้าง?
ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป) ได้แก่ - วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน - ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (ม.ค. - มี.ค. 2566) - ค่าใช้จ่ายในการเดินทางประกอบด้วย ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือนค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน ค่าโดยสารรถ ขสมก./รถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) 500 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล)
ทุกวันที่ 18 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้) ได้แก่ - เงินชดเชยค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรที่ได้ลงทะเบียนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน) - เงินชดเชยตามจำนวนเงินที่ชำระค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรที่ได้ลงทะเบียน ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท (ที่ได้ชำระเงินแล้ว) ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)
ทุกวันที่ 22 ของเดือน (สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้) - เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ)
ล่าสุด เฉพาะในเดือนมกราคม 2566 กรมบัญชีกลางรายงานว่า ได้โอนเงินใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้ทั้งสิ้น 6,785 ล้านบาท
โฆษกกรมบัญชีกลาง ยังแจ้งด้วยว่า ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังสามารถใช้บัตรฯ ต่อไปได้ตามปกติ จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศให้เริ่มใช้บัตรประชาชนแทนทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 0-2109-2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 0-2270-6400 ในวัน เวลาราชการ
5. เสียงสะท้อนจากประชาชน
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสวัสดิการของรัฐ พ.ศ. 2565
โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) จัดเก็บข้อมูล สำรวจและสอบถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายหลักๆ ของรัฐบาล
ประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ
(1) การใช้บริการสวัสดิการของรัฐด้านคุณภาพชีวิต เช่น เบี้ยยังชีพเด็กแรกเกิด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยยังชีพคนพิการ
พบว่า ประชาชนมากกว่าร้อยละ 97 ระบุว่าไม่มีปัญหาการใช้บริการ และพบว่าน้อยกว่าร้อยละ 3.0 มีปัญหา เช่น เงินไม่เพียงพอ ลำบากในการต้องไปถอนเงิน และเงินเข้าช้า
(2) สวัสดิการของรัฐด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน “เรียนฟรีถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3” สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน
พบว่า ประชาชน (ร้อยละ 80.6) ระบุว่าสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก-มากที่สุด และ (ร้อยละ 3.2) ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้น้อย-น้อยที่สุด/ไม่ช่วยเลย
(3) การใช้บริการของรัฐด้านการรักษาพยาบาล ได้แก่ สิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
พบว่า ประชาชนมากกว่าร้อยละ 97 ระบุว่าไม่มีปัญหาในการใช้บริการ และน้อยกว่า ร้อยละ 2 มีปัญหา เช่น การบริการล่าช้ารอคิวนาน และต้องใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น
(4) สวัสดิการที่ประชาชนต้องการให้รัฐจัดเพิ่มเติม เช่น
การสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (ประชาชนร้อยละ 93.5)
จัดสวัสดิการศูนย์เด็กเล็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในหน่วยงาน/ใกล้สถานที่ทำงาน (ประชาชนร้อยละ 87.6)
และจัดสวัสดิการขนส่งสาธารณะฟรีให้กับเด็ก/เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี (ประชาชนร้อยละ 85.9)
(5) ประชาชนได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย อาทิ
ควรจัดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น และลดการถูกทอดทิ้งไม่ให้อยู่เพียงลำพัง พร้อมทั้งจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการส่งเสริมคุณภาพชีวิต เช่น การจ้างนักศึกษาจบใหม่ที่มีภูมิลำเนาในหมู่บ้าน/ชุมชนเป็นอาสาสมัครร่วมกับเจ้าหน้าที่ อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าพี่พัฒนาสังคม และ อบต./เทศบาลในการช่วยดูแลศูนย์ และให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือดูแลกัน
ควรส่งเสริม/สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงช่องทางการบริการต่างๆ ของทุกหน่วยงานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และทั่วถึง รวมทั้งทำให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์
ควรสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนในการใช้สิทธิการรักษาพยาบาลทุกประเภทให้มีความเท่าเทียม ทั่วถึง และครอบคลุมในทุกพื้นที่ เช่น คุณภาพของยา การบริการและความสะดวกรวดเร็ว
ควรสนับสนุนให้มีสวัสดิการเรียนฟรีในทุกระดับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือน และทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ควรส่งเสริม/สนับสนุนสวัสดิการในเรื่องคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนเพิ่มเติม เช่น ค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จัดศูนย์เด็กเล็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้สถานที่ทำงาน และจัดบริการขนส่งสาธารณะฟรีให้กับเด็ก/เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี ฯลฯ
6. พรรคการเมือง ควรประกาศชัดๆ ว่าจะทำโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไปหรือไม่? จะทำโครงการที่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือโดยตรงแก่ผู้มีรายได้น้อยแบบนี้หรือไม่?
เรื่องนี้ เกี่ยวกับผลประโยชน์โดยตรงของชาวบ้านเกือบ 20 ล้านคน
จะเป็นประโยชน์กับชาวบ้าน มากกว่าการ“พาพ่อกลับมาเลี้ยงหลาน” หรือ “การโจมตีบั่นทอนสถาบันกษัตริย์”
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี