ข่าวใหญ่มาก แต่กลับเป็นข่าวที่ไม่เป็นข่าวดังในสื่อฯ บ้านเรา คือข่าวการลงโทษผู้ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ข่าวแบบนี้มีอยู่เป็นระยะๆ แต่ทว่าสื่อฯ กระแสหลักในบ้านเมืองของเรามักละเลยไม่นำเสนอ ไม่เกาะติด ไม่รายงาน และมองข้ามไป
ตัวอย่างเช่น ข่าวผู้บริหารระดับสูงของ TOT สามราย ถูกลงโทษจำคุก เพราะใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บุคคลบางคน คือเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจให้เอกชนบางราย รวมถึงใช้อำนาจเกินขอบเขต อนุมัติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เรื่องราวนี้ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาล แต่น่าสนใจที่สื่อฯ ไม่ติดตามความคืบหน้าของข่าวนี้
ทำนองเดียวกัน ข่าวเรื่องการทุจริตภายในสหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เช่นกันเรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่มาก แต่กลับเป็นข่าวน้อยมาก รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์พระเกี้ยวของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็คือเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ของสังคมไทย
มีคำถามว่าสื่อฯ จำนวนไม่น้อยในสังคมไทย ต้องการนำเสนอข่าวที่สำคัญให้สาธารณชนรับทราบจริงหรือ หรือว่าสื่อฯ ยุคนี้ทำได้แค่เพียงเสนอข่าวไร้สาระเท่านั้น
ขอกล่าวถึงเรื่องผู้บริหารระดับสูงของ TOT (บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)) กลุ่มหนึ่ง คือยงยุทธ วัฒนสินธุ์ และวรุธ สุวกร ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี และต้องชดใช้สินไหมจำนวน ประมาณ 1,062 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินต้น 525 ล้านบาทโดยนับถัดจากวันที่ 15 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จสิ้นเรียบร้อย
ข้างต้นนั้นคือคำตัดสิน หรือคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ตัดสินลงโทษ วรุธ สุวกร อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOT ข้อหากระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากวรุธ อนุมัติจ่ายเงิน 1,485 ล้านบาท (ไม่รวม VAT) ให้บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) โดยมิชอบ
ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่และสำคัญข่าวหนึ่งในสังคมไทย แต่กลับเป็นข่าวที่แทบจะไม่ปรากฏในสื่อฯ กระแสหลักของเมืองไทย
เมื่อพูดถึง TOT แล้ว คงเป็นเรื่องที่คนซึ่งติดตามข่าวภายใน TOT มาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง คงจำได้ดีว่าเป็นองค์กรหนึ่งที่มีปัญหามากมาย และผู้บริหารบางรายขององค์กรก็ถูกศาลสั่งจำคุกไปแล้ว เช่น สุธรรม มลิลา และยงยุทธ วัฒนสินธุ์
กรณีของ สุธรรม มลิลา (อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัทพ์แห่งประเทศไทย ต่อมาคือ TOT) ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี และชดใช้เงินจำนวน 46.8 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ในคดีแก้ไขสัมปทาน ครั้งที่ 6 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ prepaid card ให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS โดยมิชอบ
เรื่องการลงโทษ สุธรรม มลิลา ใช้เวลาในการดำเนินคดียาวนานมาก เพราะ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ชี้มูลความผิดมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องร้องดำเนินคดี
ถามว่า ทำไมผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์ฯ จึงไม่รักษาผลประโยชน์สูงสุดให้องค์กร แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้เอกชน คำตอบเรื่องนี้อยู่ที่ความสำนึกรักษาผลประโยชน์ขององค์กร หากผู้บริหารองค์กรไม่มีสำนึกในเรื่องนี้เสียแล้ว ก็หมายความว่า องค์กรต้องสูญเสียผลประโยชน์ เพราะการกระทำของผู้บริหารองค์กรที่ขาดสำนึกเรื่องนี้
ประเด็นนี้ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่ ประเด็นนี้น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการใช้อำนาจหน้าที่ใดๆ เพื่อให้องค์กรได้รับความเสียหาย มักจะพัวพันกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ และเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันของผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในสังคมไทย โดยเฉพาะกับบุคคลผู้มีตำแหน่งแห่งที่สำคัญๆ แต่กลับไม่ตระหนักในการรักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานหรือองค์กร แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองหรือพวกพ้อง
ผลประโยชน์ทับซ้อนกับคอร์รัปชั่นมีความเกี่ยวข้องกัน เพราะผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นรูปแบบหนึ่งของคอร์รัปชั่น เพียงแต่ระดับและขอบเขตต่างกันเท่านั้น
ผลประโยชน์ทับซ้อนนำไปสู่การคอร์รัปชั่นที่รุนแรงมากขึ้น เมื่อพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องพิจารณาไปถึงการใช้อำนาจที่เป็นทางการเชื่อมโยงกับกฎหมาย
กฎระเบียบ ข้อปฏิบัติ และต้องพิจารณาถึงอำนาจที่ไม่เป็นทางการ แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และขยายไปถึงคนในครอบครัวที่จำเป็นต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์โยงใย เช่น คู่สมรส และบุคคลที่เป็นเครือญาติ
พฤติกรรมที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน คือ การรับผลประโยชน์ รับของขวัญ การใช้อำนาจอิทธิพลในหน้าที่เรียกร้องผลตอบแทนอื่นๆ ใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ใช้ข้อมูลลับทางราชการเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง รับงานภายนอกแล้วทำงานแข่งกับงานในหน้าที่ของตนเอง และรับจ้างทำงานให้ผู้อื่นหลังจากตนเองพ้นจากตำแหน่งเดิมไปแล้ว โดยใช้ความรู้และความลับขององค์กรไปให้บริษัทใหม่ที่จ้างผู้ทำงานหลังจากพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารของหน่วยงานราชการไปแล้ว
ผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นได้ทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผลประโยชน์ทับซ้อนอาจจะตีเป็นมูลค่าตัวเงินเพียงไม่กี่ร้อยไม่กี่พันบาทไปจนถึงระดับหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท
ผลประโยชน์ทับซ้อนมิได้เกิดขึ้นเฉพาะผลประโยชน์ของบุคคลเท่านั้น แต่หมายความรวมไปถึงการมีอคติในการตัดสินใจ หรือการดำเนินการใดๆ ที่มุ่งตอบสนอง
ต่อผลประโยชน์ของหน่วยงานอื่น ซึ่งนอกเหนือไปจากผลประโยชน์ของหน่วยงานของตนเอง ดังเช่น การที่คนคนหนึ่งทำงานในตำแหน่งบริหารซ้อนกันสองหน่วยงานจนนำไปสู่ปัญหาบทบาทขัดแย้งกัน แล้วใช้อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่งไปรับใช้หรือสร้างผลประโยชน์ให้กับอีกหน่วยงานหนึ่ง
นอกจากนี้ การคอร์รัปชั่น การฉ้อราษฎร์บังหลวงก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจจากตำแหน่งหน้าที่เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของพวกพ้องทั้งสิ้น
สังคมไทยยังมีผู้มีอำนาจรัฐจำนวนไม่น้อยมุ่งใช้อำนาจหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งก็คือการมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั่นเอง แม้ประเทศไทยจะมีกฎระเบียบ ข้อห้าม และกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ค่อยปรากฏว่า จะมีผู้ใดเกรงกลัวมากนัก เพราะกฎหมายยังมีช่องว่าง และผู้ที่จงใจกระทำผิดในเรื่องนี้ก็ยังตั้งใจและจงใจกระทำผิดตลอดเวลา แล้วที่สำคัญก็คือคนไทยจำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่าการมีอำนาจรัฐคือการที่จะสามารถใช้อำนาจนั้นๆ ไปแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงความซื่อสัตย์ สุจริต
การป้องกันและปราบปรามการใช้อำนาจรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบที่ดีที่สุดคือ ประชาชนต้องไม่สนับสนุนผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวในทุกกรณี แล้วที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนต้องไม่สอนให้ลูกหลานเข้าใจว่าการมีอำนาจรัฐคือการสามารถใช้อำนาจรัฐไปแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และต้องย้ำกับลูกหลานตลอดเวลาว่า การใช้อำนาจรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องโดยมิชอบ คือการทำลายบ้านเมือง
การที่นายกรัฐมนตรีแสดงบทละครการเมืองด้วยการประกาศต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ทำได้แค่เพียงประกาศด้วยคำพูด แต่ไม่เคยลงมือทำอย่างจริงจังไม่สามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในบ้านเมืองนี้ได้ ต่อให้นายกรัฐมนตรียกมือไขว้กันเป็นรูปกากบาทที่บริหารหน้าอกอีกกี่แสนกี่ล้านครั้ง ก็ไม่ทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นหมดไปจากประเทศไทย หากนายกรัฐมนตรียังไม่จัดการปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงๆ จังๆ
แล้วถ้าหากคนไทยยังคงเรียกร้องให้อดีตนายกรัฐมนตรีผู้จงใจทุจริตคอร์รัปชั่นโกงบ้านกินเมืองสารพัดรูปแบบ กลับมาประเทศไทยแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษที่จงใจก่อขึ้น หรือยังสนับสนุนพรรคการเมืองภายใต้คำบงการของอดีตนายกรัฐมนตรีที่โกงบ้านกินเมือง แล้วหนีความผิดไปเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่นอกแผ่นดินไทย ก็หมายความว่า คนไทยเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่านักการเมือง และข้าราชการที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือเน้นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี