“เศรษฐา ทวีสิน” ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง ในตำแหน่ง “ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย”
เขากล่าวบนเวทีประกาศนโยบายพรรคเพื่อไทยวันที่ 17 มีนาคม 2566 ตอนหนึ่งว่า
“ผมเห็นผู้นำที่ไร้หัวใจ ขับไล่ประชาชนของตัวเองที่มีศักยภาพ คนที่รักประเทศของตัวเอง คนที่ตั้งใจทำให้ประเทศดีขึ้น แต่ถูกขับไล่ให้ออกจากแผ่นดินที่เขาเกิด”
โปรดขีด “เส้นใต้บรรทัด” ไว้สัก 500 เส้น และบันทึกหมายเหตุไว้ด้วยว่า เป็นคำพูดที่สะท้อน “วิธีคิดทุจริต” เป็นความคิด “ลวงโลกและหลอกคน”
1) ถ้าคำพูดนี้ เศรษฐาหมายถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ความเท็จก็ปรากฏขึ้นแล้วใน “วาจาทุจริต” นี้ เนื่องเพราะ “ทักษิณ” หนีออกไปเอง และไม่ยอมกลับเข้ามา ทักษิณหนีอะไร หนีคุก หนีหมายจับ และหนีความรับผิดชอบครับ ในความเป็นจริง ทักษิณต้องคำพิพากษาจำคุกจากคดีที่ดินรัชดา แต่เขาหนีไปก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน และไม่กลับมาฟังคำพิพากษา และหนีไปอยู่ต่างประเทศจนหมดอายุความกระนั้นก็ตาม ทักษิณยังมี “หมายจับ” อีกหลายคดีเป็นคดี “ทุจริต” เกือบทั้งสิ้น และเกือบทั้งหมด เป็นการทุจริตที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ไปเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง ความจริงจึงไม่ใช่การ “ขับไล่ประชาชนของตัวเองที่มีศักยภาพ”
2) หากจะตีความให้ไกลไปกว่านั้น คำว่า “ผู้นำที่ไร้หัวใจ” ที่ “ขับไล่ประชาชนของตัวเอง” เศรษฐาอาจมิได้หมายความถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ได้นะครับ เพราะตอนที่ทักษิณหนีไป และต้องคำพิพากษาจำคุกนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในวันที่ 17 กันยายน 2551 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ยังรับราชการทหารอยู่ คำถามที่ต้องถามเศรษฐาคือ “ผู้นำที่ไร้หัวใจ” นั้น เขาหมายถึง “ใคร” ยิ่งมาถูกขยายความด้วยคำว่า “ขับไล่ประชาชนของตนเอง” ยิ่งชี้ชัดว่าคงมิได้หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแน่แท้
3) คดีที่ทักษิณหนีไป คือคดีที่ดินรัชดา ที่บริวารของทักษิณชื่อว่า “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” สร้างวาทกรรมกลบเกลื่อน (อันเป็นวจีทุจริตชนิดหนึ่ง) ว่า “ผัวเซ็น เมียซื้อ”
ที่จริงแล้ว เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ “เอื้อประโยชน์”อย่าง “ขัดต่อกฎหมาย” อย่างชัดเจน
เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ ให้ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565
“...สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ตัวอย่างคดีทุจริต กรณีการทำธุรกิจกับตัวเอง หรือเป็นคู่สัญญา โดยยก “คดีที่ดินรัชดา” ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2550 โดยข้อเท็จจริงตามคำพิพากษามีนายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 2
ป.ป.ช. ระบุพฤติการณ์ว่า นาง พ. ภรรยาของ นาย ท.ประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง โดยขณะนั้น นาย ท. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการของกองทุนฯ ลงลายมือชื่อยินยอมให้คู่สมรสคือ นาง พ. เข้าประมูลซื้อที่ดินและทำสัญญาซื้อขายที่ดิน พร้อมมอบหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อประกอบการทำสัญญา ส่งผลให้เป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาดังกล่าว
การที่ นาย ท. รู้เห็นยินยอมให้คู่สมรสเข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนฯ ย่อมถือว่าการเข้าทำสัญญาดังกล่าว เป็นการกระทำของ นาย ท. เอง ดังนั้น
การกระทำของนาย ท. จึงเป็นการเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานที่ตนเองมีอำนาจกำกับดูแลอยู่ อันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม จึงมีความผิดตามมาตรา 100 (1) วรรค 3 ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี...” (ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ)
ถ้านายเศรษฐารับพฤติกรรมเช่นนี้ของทักษิณได้ สำหรับผม นายเศรษฐาเป็นคนที่ “ใช้ไม่ได้”
4) หากเศรษฐามิได้หมายถึง “ทักษิณ” แต่หมายถึง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แม่ยอดขมองอิ่ม สาระสำคัญก็มิได้ต่างไป เพราะยิ่งลักษณ์ก็ “หนีไปเอง” ทิ้ง “บุญทรง เตริยาภิรมย์”ขึ้นศาล ฟังคำพิพากษา และติดคุกไปตามลำพัง
5) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มหลอมรวมประชาชน กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า นายเศรษฐากล่าวถึงผู้นำไร้หัวใจ ไล่คนไทยออกนอกประเทศนั้น นายจตุพร เห็นว่า ขึ้นอยู่กับการเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ต้องรู้ให้ตรงกันก่อนว่า ไม่มีใครสามารถไล่คนไทยออกนอกประเทศได้ ขณะเดียวกันก็ไม่มีคนไทยคนใดที่จะห้ามคนไทย ไม่ให้กลับเข้าแผ่นดินไทยได้เช่นกัน อีกทั้งไม่มีกฎหมายห้ามคนไทยเข้าประเทศด้วย ดังนั้น การออกนอกประเทศคงเป็นเพราะเขาไม่ให้อยู่ หรือไม่อยู่เอง
อย่างไรก็ตาม ในอดีต ช่วงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ตัดสินใจออกนอกประเทศเอง โดยประชาชนขับไล่แค่ต้องการให้ออกจากตำแหน่งเท่านั้น รวมทั้งนายปรีดี พนมยงค์ และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ล้วนแต่เป็นการตัดสินใจออกนอกประเทศเองทั้งสิ้น แต่การไม่กลับมา
แผ่นดินไทยนั้น ไม่มีใครห้ามปรามได้เลย
นายจตุพร กล่าวต่อว่า เจตนาของ นายเศรษฐา ที่พูดถึงการไล่คนออกนอกประเทศนั้น คงต้องการสื่อให้คนในห้องประชุมนึกถึงหน้านายทักษิณ ชินวัตร หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ อย่างไรก็ตาม ควรต้องยึดหลักสำคัญว่า คนไทยไม่มีสิทธิ์ไล่ใครออกนอกประเทศ แม้จะมีการพูดจริง แต่ไม่มีอำนาจ ดังนั้นการไม่อยู่ในประเทศจึงเป็นเรื่องของแต่ละคนจะตัดสินใจ และถึงที่สุดแล้ว เมื่อ นายเศรษฐา อาจได้เป็นนายกฯ ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า แผ่นดินนี้ไม่มีใครบังคับให้คนไทยออกนอกประเทศได้ นอกจากจะออกไปเอง
“เมื่อคนไทยมีศักยภาพที่นายเศรษฐา บอกว่า เขาไม่อยู่ใต้โอวาท จึงถามว่า ใต้โอวาทของผู้นำคนไหน ที่ไม่ฟัง จึงต้องออกกันไป ซึ่งคำนี้เป็นคำละเอียดอ่อน ใช้ปลุกใจได้ถ้าไม่เข้าใจบริบทแล้ว จะนำไปสู่ความขัดแย้งมากมาย”
รวมทั้งเสนอว่า วันนี้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ กลับบ้านในไทยได้ตลอดเวลา และไม่มีใครขับไล่ออกนอกประเทศ ตลอดจนไม่มีใครห้ามทักษิณกลับไทยด้วย ดังนั้น คำพูดของนายเศรษฐา จึงเป็นการสร้างจินตนาการที่ใหญ่โตมาก
“คุณเศรษฐาต้องช่วยอธิบายความว่า มีคนไทยคนไหนถูกบังคับให้ออกนอกประเทศ และไม่ให้เข้าประเทศ เพราะบางทีอาจมีเหตุผลว่า บางคนไม่ยอมรับการปกครอง หรือบางคนไม่ต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถึงที่สุดตัวเองไม่ได้ถูกบังคับให้ออกนอกประเทศ ถ้าใครก็ตามยืนหยัดแนวคิดของตัวเอง ก็อยู่ในประเทศได้ แม้จะถูกติดคุกก็ตาม”
นายจตุพรกล่าวว่า การปลุกของนายเศรษฐาในเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าวันไหนนายเศรษฐามาเป็นผู้ปกครองต้องยอมรับก่อนว่า ไม่มีใครมีอำนาจบังคับไล่คนให้ออกนอกประเทศได้ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องความกลัวในเรื่องอิสรภาพหรือต้องติดคุก ซึ่งสิ่งนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับกันก่อน
พร้อมทั้งเห็นว่า คนเป็นผู้นำ ถ้าน้อมรับกระบวนการยุติธรรม และการตัดสินของศาลตัดสิน หรือไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องไม่ยอมรับมาตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทาน ประเภทที่ยอมรับครึ่งไม่ยอมรับครึ่ง จึงมีสภาพอิหลักอิเหลื่อเหมือนทุกวันนี้
6) ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2566 นายจตุพรพรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เปิดตัวจริงหรือ?” โดยกล่าวถึงการเปิดตัวของนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ ถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่แบ่งรับแบ่งสู้กับงานการเมืองในอนาคตจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยหรือไม่ พร้อมตำหนิไม่กล้าแสดงภาวะผู้นำตอบโต้ข้อกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถามว่า“เขาเก่งอะไร” ว่า
“กรณีของนายเศรษฐา เปิดตัวก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเข้มข้น ซึ่งไม่ยกเว้นกระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพลังประชารัฐ (พปชร.) นายอนุทินชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จากรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ต้องตรวจสอบภาวะผู้นำที่จะนำพาความหวังประชาชนเช่นกัน และความเป็นผู้นำต้องอดทนในการชี้แจง
อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเศรษฐาเปิดตัว ถูก พล.อ.ประยุทธ์ วิจารณ์หนักในด้านความเก่ง ทำอะไรมา กลับไม่ตอบให้ตรงและชัดเจนเพื่อแสดงถึงภาวะผู้นำ แต่ไปยกย่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีวุฒิภาวะที่เหนือกว่า แล้วหลีกเลี่ยงข้อครหาอันเป็นสาระสำคัญที่ว่า เศรษฐกิจประเทศไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
ทั้งนี้ นายจตุพร เห็นว่า เมื่อนายเศรษฐา ถูกคาดหมายจะมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ต้องตอบข้อครหาเชิงกล่าวหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่มาแสดงมารยาททางสังคมต้องเชื่อฟังคนแก่กว่า ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับความคาดหวังในภาวะผู้นำของประเทศเช่นนี้
“เศรษฐา ไม่ได้เป็นคนใหม่เลย สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการคนหนึ่งในจำนวนสามคน รวมถึงทักษิณ และ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย จนนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สำคัญตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ และ รมต.สาธารณสุข ก็เป็นคนของนายเศรษฐา ซึ่งทั้งสองจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพินาศย่อยยับของรัฐบาลยิ่งลักษณ์” นายจตุพร กล่าว
รวมทั้ง ย้ำว่า เมื่อเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีส่วนให้เกิดความล่มสลายแล้ว ความสำเร็จในฐานะที่ปรึกษา จึงยากจะนำมากล่าวอ้างได้ แต่เมื่อได้เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือเป็นที่ปรึกษาอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จึงส่อแนวโน้มเจ๊งไม่แตกต่างกันกับเหมือนเป็นที่ปรึกษาของยิ่งลักษณ์
นอกจากนี้ นายจตุพร สงสัยในช่วงขณะทำธุรกิจว่ามีพฤติกรรมที่ขาดธรรมาภิบาลในหลายธุรกรรมหรือไม่ซึ่งต้องได้รับการพิสูจน์ข้อกล่าวหา และเมื่อมีการเปรียบเทียบธุรกิจครอบครัวกับเศรษฐกิจประเทศแล้ว นายเศรษฐาต้องตอบ และโชว์วิสัยทัศน์ผู้นำที่โดดเด่นของที่ปรึกษาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ชัด
“นายเศรษฐา จะมาอย่างไร ผมไม่รู้ แต่ทั้งหมดต้องได้รับการตรวจสอบจากขบวนการประชาชนทุกอย่าง แม้จะเข้ามาทางการเมืองเต็มตัวหรือไม่ก็ตาม แต่คนอยู่ในพรรคนั่งหัวดำหัวขาวไม่ถามเป็นใครละ คุณมาจากไหนเอาแต่ความสะอาด เอาแต่ดีหรือ? ส่วนคนอื่นมีความเดือดร้อนสารพัด เพราะนี่เป็นการเดิมพัน ไม่ใช่เอาดี หรือไม่ดีก็ไม่เอานี่บ้านเมืองและประเทศไทย”
นายจตุพร ยังกล่าวถึงพล.อ.ประยุทธ์ว่า เมื่อมีการตรวจสอบหมู่บ้านหรู ก็ต้องตรวจทั้งหมดและทุกหมู่บ้านที่เข้าข่ายขายบ้านเป็นนอมินีให้ต่างชาติหรือไม่เช่นกัน รวมถึงการตรวจสอบในตลาดหลักทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตามคนที่มีหน้าที่ในบ้านเมืองแล้วไม่ตรวจสอบย่อมทำให้ประเทศเสียหายและเลวไม่ต่างกัน หรือแค่พูดเพื่อใช้ในการหาเสียง หลังจากนั้นก็ดีกัน ใครเป็นรัฐบาลก็เอื้อต่อกันอีกเช่นเดิม
ส่วนนักการเมืองเพื่อไทย นายจตุพรกล่าวว่า ถ้าเป็นคนการเมืองที่ต่อสู้มาแล้ว จะต้องถามว่าเอาใครมา ต้องพูดความจริงกัน ไม่ใช่มานั่งชื่นชมความสำเร็จในการขายหมู่บ้าน แต่นี่เป็นประเทศ ซึ่งตนไม่ได้เข้าข้าง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำให้ประเทศฉิบหายอีกแบบหนึ่งเช่นกัน
“สิ่งที่พูดวันนี้ จะบอกว่าบ้านเมืองไม่ใช่ของทดลองของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่ว่าเจ้าของพรรคจะพึงพอใจใครคนใดคนหนึ่ง ประเทศนี้จะอยู่อย่างไร มีนายกรัฐมนตรีเพื่อจะมีนายกรัฐมนโทหรือ? มันซ่อนอำนาจกันตลอดเวลา แล้วสุดท้ายคืออะไร ดังนั้น จึงต้องการให้ได้คนที่มีศักยภาพ เพราะคนเก่งในบางวงการกับการบริหารประเทศคนละเรื่องกัน”
นายจตุพร ย้ำว่า การถนัดในด้านธุรกิจแต่ละเรื่องกับการบริหารประเทศจึงต้องผ่านการพิสูจน์ ต้องไม่ติดกับดักสิ่งที่พูดถึงแต่คนดี คนเก่งไม่โกง หรือเก่งแต่โกง ดีแต่โง่ และโง่แล้วโกง แล้วบ้านเมืองจะไปกันอย่างไร พร้อมกล่าวว่าถ้านายเศรษฐา เป็นคนเก่ง หากนำผลงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วมาเรียงให้เป็นที่ประจักษ์ในด้านการช่วยเหลือสังคมและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ซึ่งอาจจะมีและคงจะทำแต่ตนไม่เคยได้ยินว่า ได้ทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะสิ่งสำคัญเมื่อจะมาเป็นผู้ปกครองประเทศได้ทำอะไรมาบ้าง ประชาชนจะได้ฝากอนาคตที่มีความหวังกับนายเศรษฐาได้”
สรุป : นายเศรษฐาต้องตอบคำถามให้ได้ว่าตนเก่งอะไร, คนเก่งแต่โกง ดีต่อประเทศชาติอย่างไร,คนโกง มีคดี แล้วหนีออกนอกประเทศ ถูกต้องอย่างไร, หนีไปแล้วไม่ยอมกลับมารับโทษ ต่อมาเอาเสียงส่วนใหญ่ในสภาไปออกกฎหมายนิรโทษกรรม เอาประชาชนบังหน้า แต่ยัดไส้นิรโทษกรรมคดีทุจริต เป็นสิ่งที่นายเศรษฐาเห็นว่าถูกต้องแล้ว ดีแล้ว ใช่หรือไม่
คำพูดของนายเศรษฐาจึงมีนัย “เชิงจริยธรรม” ว่าต่ำหรือสูงให้เห็นชัดเจนมาก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี