นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยังคงเดินหน้าให้ข้อมูลโจมตีนโยบายกัญชา ด้วยการบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมืองไปถล่มพรรคภูมิใจไทย
ทำราวกับว่า กัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เกิดจากการมุบมิบดำเนินการ โดยพรรคภูมิใจไทยฝ่ายเดียว และโดยที่ประชาชนหลายล้านคนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ทั้งๆ ที่ ไม่เป็นความจริง
1.การโพสต์ล่าสุดของนายชูวิทย์ ก็ระบุว่าด้วยเรื่อง “สิทธิต่อต้านพรรคการเมือง”
เนื้อหาบางตอนที่กล่าวถึงนโยบายกัญชาโดยบิดเบือน อาทิ
“...การนำกัญชามาใช้ของพรรคภูมิใจไทย อย่างไร้การควบคุม ส่งผลร้ายต่อสังคม เยาวชน
มีการใช้อย่างผิดๆ ไม่มีการเผยแพร่ข้อเสียของกัญชา และอ้างเอาว่าเป็น “กัญชาทางการแพทย์”
แต่ความเป็นจริงแล้ว มีการขายอย่างเสรีทั่วไปให้ประชาชนได้เห็นด้วยตาของตัวเองทั้งสิ้น
การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด จึงเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมาก
ให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เพียงคนเดียวตัดสินใจไม่ได้
ต้องผ่านการกลั่นกรองจากสภาเป็นกฎหมาย รับฟังความคิดเห็นของประชาชน สังคม แพทย์ สมาคม ชุมชน หรือกระทั่งจัดทำ “ประชาพิจารณ์”
แต่ที่ผ่านมาไม่มีกระบวนการใดๆ ทั้งสิ้น ลักไก่ใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชี “ยาเสพติด” เท่านั้น....”
2.นายชูวิทย์มีสิทธิต่อต้านพรรคการเมืองใดก็ได้
แต่ต้องเอาความจริงมานำเสนออย่างเป็นธรรม
ประการสำคัญ ต้องไม่เพิกเฉยต่อประชาชนที่ปลูกและใช้กัญชาในทางสร้างสรรค์จำนวนหลายล้านคน
ปัจจุบัน การขายกัญชาให้เด็ก และการเสพกัญชาของเด็กเยาวชน ล้วนแต่ผิดกฎหมาย รัฐบาลไม่มีนโยบายอนุญาตให้เลย
3.นายศุภชัย ใจสมุทร ประธาน กมธ.ร่างกฎหมายกัญชาฯ ได้อธิบายความโดยชัดแจ้ง
ว่าด้วยเรื่อง “ความจริงเรื่องการปลดล็อกกัญชากัญชงออกจากการเป็นยาเสพติด” ระบุว่า
“1.กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
ซึ่งความจริงแล้วกัญชาเป็นสมุนไพรที่คนไทยใช้เป็นยารักษาโรคมานาน แต่เป็นการใช้ใต้ดินในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการประเมินว่ามีคนไทยใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและเพื่อรักษาโรคนับล้านคน
2.ช่วงการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยได้ออกนโยบายว่า“กัญชาไทยปลูกได้เสรี แก้ พ.ร.บ.ยาเสพติด กัญชาเพื่อการแพทย์ พืชเศรษฐกิจตัวใหม่สร้างความร่ำรวยให้คนไทย”
3.วันที่ 25 ธันวาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกัญชากัญชงและกระท่อมอย่างเป็นระบบ มีกรรมาธิการจากทุกพรรคการเมืองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 กรรมาธิการได้เสมอรายงานจำนวน 367 หน้า สรุปสาระสำคัญคือ “การยกเลิกกัญชากัญชงและกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ”
4.วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด เสนอต่อรัฐสภาเนื่องจากเป็นกฎหมายปฏิรูป โดยยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 และในมาตรา 29 ได้ยกเลิกกัญชาออกจากยาเสพติด
5.รัฐสภาได้ตั้งกรรมาธิการซึ่งประกอบด้วย สส. สว. ตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ส. กฤษฎีกา อัยการ สำนักงานศาลยุติธรรม พิจารณาจนแล้วเสร็จเมื่อมิถุนายน 2564 และรัฐสภามีมติเอกฉันท์เห็นชอบ ประกาศมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 การปลดล็อกกัญชาเป็นทางการจึงเริ่มนับจากวันนี้
6.วันที่ 26 มกราคม 2565 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทยนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติกัญชากัญชงต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีกฎหมายกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ
7.ตามมาตรา 29 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ 2564 บัญญัติว่า“การระบุชื่อยาเสพติดใดว่าอยู่ในประเภทใดให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประกาศกำหนด”
8.ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีรองนายกรัฐมนตรีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน ได้ออกประกาศตามมาตรา 29 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 คือ
“1.พืชฝิ่น พืชซึ่งมีช่ื่อพฤกษศาสตร์ว่า Papaver somniferum L. และ Papaver bracteatum Lindl. หรือที่มีชื่ออื่นในสกุลเดียวกันที่ให้ฝิ่นหรือแอลคาลอยด์ของฝิ่น
2.เห็ดขี้ควายหรือพืชเห็ดขี้ควาย ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psilocybe cubensis (Earle) Singer หรือที่มีชื่ออื่นในสกุลเดียวกันที่ให้สาร psilocybin หรือ psilocin
3.สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง ซึ่งเป็นพืชในสกุล Cannabis ยกเว้นสารสกัดดังต่อไปนี้
(ก)สารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล(tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจากพืชกัญชาหรือกัญชงที่ปลูก ภายในประเทศ
(ข) สารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จากการปลูกภายในประเทศ”
ประกาศดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้เมื่อครบร้อยยี่สิบวันหลังประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
9.เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่ 1 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกัญชากัญชงที่พรรคภูมิใจไทยเสนอและตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อไปพิจารณา โดยมีกรรมาธิการจากทุกพรรค หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ แพทย์ เภสัชกร
10.กรรมาธิการได้ร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกัญชากัญชงจนแล้วเสร็จจาก 45 มาตราเป็น 95 มาตรา เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สมบูรณ์ครบถ้วน ครอบคลุมคุ้มครองสังคม เกิดประโยชน์ในการใช้เพื่อสุขภาพ ทางการแพทย์ การวิจัยและพัฒนา ทางเศรษฐกิจ และได้นำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 เพื่อพิจารณาในวาระสองแต่ในที่สุดพระราชบัญญัติกัญชากัญชงก็ไม่สามารถพิจารณาให้แล้วเสร็จเพราะมีการเตะถ่วง จากสมาชิกพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรด้วยเหตุผลทางการเมืองมิใช่เนื้อหาของกฎหมาย”
4. อย่างแรก... นายชูวิทย์ควรหยุดป้ายสีคนที่ออกมาท้วงติง หรือแย้งการเคลื่อนไหวของตนเอง ในลักษณะใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นพวกได้รับงานจากฝ่ายการเมืองที่สนับสนุนนโยบายกัญชา
นายชูวิทย์ไปอยู่ที่ไหนมา ภาคประชาชนเขาเคลื่อนไหวผลักดันเรื่องกัญชา มาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งปี 2562 ด้วยซ้ำ
นโยบายเรื่องนี้ มาจากข้อเรียกร้องของภาคประชาชน
ตรงกันข้าม นายชูวิทย์เองต่างหาก ที่ปรากฏว่าได้รับเงินสีเทา ซึ่งถ้าไม่มีคนแฉ นายชูวิทย์ก็คงไม่ยอมรับและไม่ยอมเปิดเผยว่าได้รับเงินสีเทามาตั้งแต่เมื่อไหร่ (6 ล้านเอาไปบริจาค)
แล้วสังคมจะเชื่อมั่นได้อย่างไร ว่านอกจาก 6 ล้านบาทนั้นแล้ว จะไม่มีเงินสีเทาแบบนี้อีก?
สาบานมั้ยว่าไม่มีอีก? ถ้ามีอีก จะให้สังคมทำอะไร? จะรับผิดชอบอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี