วันก่อน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ “ผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง” โพสต์เฟซบุ๊กของเขาในหัวข้อ “ระวัง น้ำใบบัวบก ขาดตลาด” ความว่า...
“สิ่งแรก ที่ทำให้คนเลือก “พรรคก้าวไกล” ผิดหวังคือ การแก้ หรือ ยกเลิก ม.112 ผมฟังการแถลงข่าวของพรรคที่จับมือกันเป็นรัฐบาล ปรากฏว่า เรื่อง ม.112 ไม่ได้เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ แต่ให้เป็นนโยบายของพรรคแต่ละพรรค เท่ากับว่า คนที่เลือกพรรคก้าวไกลเพราะหวังจะให้แก้ หรือ ยกเลิก ม.112 หาน้ำใบบัวบก มาซดแก้ช้ำในได้แล้ว ตอนเย็นๆ ใครที่ไปชูป้ายหน้าศาลฎีกา ให้ยกเลิก ม.112 คงต้องเปลี่ยนไปชูป้ายหน้าพรรคก้าวไกลแทน”
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ว่า...
“ขณะนี้ตนเห็น MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลทำงานร่วมกันแล้ว โดยพรรคแกนนำหลักเป็นคนยกร่างมา และหากตรงไหนรับไม่ได้ เราก็บอกเขาว่าตรงนี้เอาไปปรับแก้นะ มันก็จะเป็นการพูดคุยในลักษณะแบบนี้ข้อมูลประเด็นข้อห่วงใยต่างๆ ก็จะอยู่ใน MOU และได้มีการปรับแก้แล้วบางข้อที่พรรคเพื่อไทยเห็นแย้ง เยอะพอสมควร”
เมื่อถามว่า แล้วแบบนี้จะบรรลุข้อตกลงกันหรือไม่นพ.ชลน่านกล่าวว่า ก็ต้องมานั่งพูดคุยกัน เพราะพรรคแกนนำหลักก็เปิดโอกาสให้เติมเต็มแล้วพูดคุยกัน พูดง่ายๆ อย่างเรื่องของการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน มันก็มีการพูดคุยกันในระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าหากเป็นลายลักษณ์อักษร ก็มาเขียนกันใน MOU เท่านั้น ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะกล่าวได้ว่า MOU อาจจะเป็นตัวที่ทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้
เมื่อถามว่า ในฝั่งพรรคเพื่อไทย น่าจะมีการแก้ MOU เยอะใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เขาส่งแต่เพียงตัวยกร่างมาเท่านั้นเอง และพรรคก้าวไกลเขาก็ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นไปในตามนี้
เมื่อถามเรื่อง การแก้ ม.112 ใน MOU นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ และในร่างของ MOU จากพรรคก้าวไกล ไม่มีการเขียนเรื่องนี้อยู่เลย และใน MOU ไม่ได้ยึดเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักแต่อย่างใด ขณะนี้ MOU ก็ยังเขียนไม่เสร็จ เขาเพียงแต่ส่งให้พรรคเพื่อไทยดูเท่านั้น ว่าจะช่วยกันปรับแก้อย่างไร”
ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า
“จุดยืนเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 112 คิดว่าก่อนเลือกตั้ง มีดีเบต มีพูดคุยกันเยอะแล้ว พื้นที่นี้คงไม่เป็นพื้นที่ที่จะบอกอะไรในการ clarify (ชี้แจง) เพราะคิดว่าทุกพรรคได้ชี้แจงจุดยืนไปแล้ว”
รูปการณ์จึงออกมาในทำนองว่า ม.112 ไม่ใช่ “ข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล” แต่เป็น “นโยบายของใครของมัน”
112 จึงยังเป็น “ชนวนสำคัญ” ที่อาจทำให้การตั้งรัฐบาลโดยพรรคก้าวไกล “เป็นไปไม่ได้” และยังเป็น “สลักที่ถอดไม่ออก” ที่ทำให้พรรคก้าวไกลต้อง “ขังตัวเอง” ไว้ในจุดยืนสุดโต่งนี้ ที่ไม่อาจ“หาทางออก” สู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และผลักดันนายพิธาให้เป็นนายกฯ
ม.112 เป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกล “ถอยร่นไม่เป็นท่า”ในช่วงเวลาดีเบตก่อนการเลือกตั้ง ชนิดถอยจากจุดสุดโต่งสูงสุด คือ ยกเลิก มาเป็น แก้ไข
ภาพ “ยิ้มเจื่อน” ที่ยังคงติดตามประชาชนอยู่แนบแน่น ก็คือยิ้มเจื่อนๆ หน้าซีดๆ แหยๆ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไล่ต้อนว่า ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ จะยกเลิก หรือจะแก้ไข แต่นายพิธาได้ไปติดสติกเกอร์ที่ฝั่งยกเลิกนะครั้นนายธนาธรแถไปว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของนายพิธา นายอภิสิทธิ์จึงถามว่า หัวหน้าพรรคที่มีจุดยืนหรือความเห็นไม่ตรงกับพรรค ต้องลาออกไหม(เพราะนายอภิสิทธิ์เคยลาออก เมื่อจุดยืนเรื่องสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีของตัวเขาไม่ตรงกับพรรค)
ถึงที่สุด เรื่อง ม.112 นี่แหละ ที่ทำให้ก้าวไกลหาจุดลงตัวลำบากมาก ในเมื่อ “ปั่นมวลชน” ไว้ไกลลิบหากจะถอยกลับมา มวลชนจะยอมให้ “ลดเพดาน” ได้แค่ไหน หากไม่ถอย ไม่ลดระดับลง แล้วพรรคร่วมไม่เอาด้วย สุดท้ายก็ทำไม่ได้
ยิ่งเวลานี้ มีคนออกมาชี้ถึง “ความสุดโต่ง”ในข้อเสนอเรื่อง ม.112 ของพรรคก้าวไกลกันมากขึ้น แถมแย้งอย่างมีหลักการ เหตุผล ที่หนักแน่นเสียด้วย
อาทิ...
1) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์เฟซบุ๊คเรื่อง “อย่าให้พระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีกับประชาชน” ความว่า...
“...ผมฟังคำให้สัมภาษณ์ของ นายธีรัจชัย พันธุมาศฝ่ายกฎหมายพรรคก้าวไกล และมีชื่อจะเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่ด้วยคนหนึ่ง กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องแก้ ม.112 เพราะพรรคเคยหาเสียงไว้ และยกเหตุผลหลายประการในการแกั ม.112 เช่นแก้อัตราโทษ, แก้ให้เป็นกฎหมายที่ยอมความได้,แก้ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ และให้นำเรื่องนี้ออกจากหมวดความมั่นคงแห่งรัฐ
...ผมมีความเห็นแย้ง เกือบทุกข้อของพรรคก้าวไกล วันนี้ เอาบางข้อก่อน
...ประเด็นให้ สำนักงานราชเลขาธิการ เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ ผมเห็นแย้งว่า การให้สำนักราชฯแจ้งความประชาชน เป็นการนำสถาบันมาเป็นคู่กรณีโดยตรงกับประชาชน สถาบันฯเป็นเรื่องของความมั่นคงหากประชาชนเห็นว่า ใครทำความเสียหายให้สถาบัน ก็ถือว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง ประชาชนก็ควรมีสิทธิแจ้งความร้องทุกข์ได้ อย่าให้หน่วยงานของสถาบัน แจ้งความเป็นคู่กรณีกับประชาชนเลย เพราะสถาบันต้องอยู่เหนือความขัดแย้งกับประชาชน
...สมมุติว่า มีการกระทำความผิดตาม ม.112 อยู่ในตำบล หมู่บ้าน ไกลๆ ต้องให้สำนักราชฯเดินทางไปแจ้ง ในตำบล หมู่บ้าน นั้นเลยหรือครับ
...การแก้ไขเรื่องนี้ จึงควรมีความชัดเจน ว่าจะแก้อย่างไร อย่าหลบๆ ซ่อนๆ
...ผมไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎรกับเขาหรอก ไม่มีเอกสิทธิคุ้มครองในการแสดงความเห็น ทำได้แค่นี้แหละแต่ในฐานะประชาชน ผมยังเห็นว่า ความผิดต่อสถาบันเป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ประชาชนจึงมีสิทธิปกป้องสถาบัน หากเห็นว่า ใครทำผิด ประชาชนก็ควรมีสิทธิแจ้งความร้องทุกข์ได้ ส่วนตำรวจ/อัยการ จะฟ้องหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องว่าไป ...ตามข้อเท็จจริง ผมจึงอยากขอร้องพรรคก้าวไกล ว่า ท่านได้อำนาจแล้ว ก็ขอให้ใช้อำนาจนั้นปกป้องสถาบัน การทำให้สถาบันเป็นคู่กรณีกับประชาชน มิใช่การปกป้องเลยครับ ในความเห็นส่วนตัวของผม เป็นการบ่อนเซาะและทำลายสถาบันเสียด้วยซ้ำ จึงขอให้พรรคก้าวไกล ทบทวน”
2) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ออกบทความเรื่อง “ก้าวไกล..ทำอะไรกับ 112?”มีเนื้อหาในรูปแบบถามและตอบ ดังนี้
ถาม : วันนี้ ก้าวไกล เขายังยืนยันนะครับว่า เขาเสนอแก้ไข 112 เท่านั้น ไม่ใช่ยกเลิก
ตอบ : ถ้าเช่นนั้น ผมก็ต้องขอวิเคราะห์ฉายซ้ำให้เห็นกันอีกทีว่า จริงๆ แล้ว ร่างกฎหมายที่เขาเคยเสนอนั้น มัน “ยกเลิก” หรือ “แก้ไข” กันแน่
ถาม : ขอคำอธิบายก่อนครับว่า “ความเป็น 112”ในกฎหมายอาญาปัจจุบัน คืออะไร
ตอบ : เรื่องความผิดทางวาจา ไปพูดจาใส่ความให้เขาเสียหาย หรือดูหมิ่นให้เสียศักดิ์ศรีนี้ กฎหมายเรามีสองระบบ คือระบบคุ้มครองคนธรรมดา กับระบบคุ้มครองสถาบัน เช่นถ้าดูหมิ่นคนธรรมดาก็โทษเบาแค่ลหุโทษ แต่ถ้าดูหมิ่นในหลวง ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูหมิ่นศาล ก็เป็นอีกระบบหนึ่งที่ถือเป็นความผิดต่อแผ่นดินข้อห้ามเคร่งครัดขึ้น หรือโทษหนักขึ้น เหตุเพราะมุ่งคุ้มครองสถาบัน ทั้งสถาบันประมุข สถาบันการปกครอง และสถาบันทางกฎหมาย
กฎหมายใหม่ของก้าวไกล คือ เลิก! ไม่คุ้มครองในหลวงด้วยระบบคุ้มครองสถาบันอีกต่อไป ให้ถือเป็นคนธรรมดาที่เผอิญเกิดมาเป็นในหลวงเท่านั้น เมื่อเลิกคุ้มครองแบบสถาบัน การคุ้มครองแบบคนธรรมดาก็เข้ามาแทน แต่เวลาเขียนเป็นกฎหมาย ก็ต้องแยกบัญญัติกำหนดเงื่อนไขทางปฏิบัติไว้เป็นพิเศษบ้าง
ถาม : เทียบอย่างนี้แล้ว ในหลวงก็กลายเป็นคนธรรมดาด้วยกฎหมายก้าวไกล
ตอบ : ถูกต้องครับ ต่อไปนี้คนเป็นในหลวงจะถูกเล็งเป้า เสียหายจากปากคนได้ทุกวัน สำนักพระราชวังต้องจ้างเหมาสำนักงานทนายความไว้คอยแจ้งความเลย ตรงนี้คุณชวน หลีกภัย ทำถูกแล้วที่ไม่บรรจุร่างกฎหมายของก้าวไกลเข้าวาระประชุมสภาผู้แทน โดยเหตุที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งระบุไว้ว่า ทรงเป็นที่สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ แต่ถ้าภายหน้ามีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่จริง เขาคงเลิกบทนี้ด้วย
ถาม : ทำไมเราถึงวิพากษ์ในหลวงไม่ได้
ตอบ : สถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็น “สติของประเทศ” ที่อยู่เหนือฝักฝ่าย การเมืองมาแล้วก็ไป ในหลวงไม่ไปไหน เราจึงให้พระราชอำนาจที่จะทรงยับยั้งร่างกฎหมายได้ เรียกรัฐบาลมาสอบถามหรือให้คำแนะนำได้ ราชการสำคัญที่ริเริ่มก็ต้องกราบทูลรายงานให้ทรงทราบด้วย บ้านเมืองแตกแยกจะฆ่าแกงกัน ก็ทรงเรียกมาพูดคุยหยุดจลาจลได้
พระราชอำนาจทั้งหมดนี้ จะคุ้มแผ่นดินได้จริง ก็ต้องคุ้มครอง “บารมี” ของในหลวงด้วย จะให้วิพากษ์กันจนเละไม่ได้ เหตุผลนี้นี่เอง ที่ 112 ต้องเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ใครที่ไม่ยอมรับองค์คุณเช่นนี้ของสถาบัน เขาก็ย่อมเห็นว่า 112 เป็นกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นธรรมดา จึงต้องแก้กฎหมายให้ทรงเป็นคนธรรมดาที่วิพากษ์ได้จนทรงรับเละในที่สุด
ถาม : ผมอ่านร่างกฎหมายของก้าวไกลแล้ว ทำไมเขาเอื้อมมาแก้ไขกฎหมายหมิ่นประมาทและดูหมิ่นด้วย
ตอบ : เป้าหมายของเขาจริงๆ อยู่ที่เลิก 112 ให้ในหลวงถูกใส่ความได้ วิพากษ์ได้ เช่นคนธรรมดาทั่วไป แต่เพื่อให้ดูดีว่านี่คือการแก้กฎหมายเพื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เขาจึงเอื้อมมาแก้กฎหมายลดโทษหมิ่นคนธรรมดา หมิ่นเจ้าพนักงาน หมิ่นศาลด้วยเช่น ถ้าหมิ่นประมาทคนธรรมดา ก็เลิกโทษจำคุก 1 ปีจนเหลือแต่โทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท เป็นต้น ต่อไปจะด่าใคร มีเงินสองหมื่นก็ด่าได้สบาย ไม่ต้องกลัวติดคุกแล้ว ดูหมิ่นเจ้าพนักงานก็เช่นกัน มีเงินก็ด่าได้แล้ว
มันเป็นม่านกำบังให้คนหลงเชื่อว่า ร่างกฎหมายนี้ก้าวไกลมุ่งขยายเสรีภาพโดยรวม ไม่ใช่จ้องแต่จะล้มสถาบันลูกเดียวอย่างที่พูดกัน นี่คือเล่ห์กลอำพรางทางกฎหมายครับ เขาเชื่อจริงๆ ว่า คนไทยยังโง่อยู่
จากที่ประมวลเหตุการณ์และข้อมูลมาทั้งหมด ผมขอสรุปว่า
1.มาตรา 112 จะทำให้พรรคก้าวไกลไม่มีจุดถอย และพรรคที่สัญญาว่าจะร่วม ยังมีช่องให้ “กระโดดหนี”
2.ด้วยจำนวน สส. พรรคที่กระโดดหนีไห้ง่ายที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย
3.พรรคเพื่อไทยมาเหนือเมฆ ตรงที่แสดงตัวว่าไม่ขัดขวางการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล แถมสวมบทผู้เข้าร่วมอีกต่างหาก
4.ถ้าการกดดันต่อรองจนได้เงื่อนไขที่ดีพรรคเพื่อไทยก็อาจจบที่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนี้แล้วรอลุ้นว่า “พิธา” จะรอดเรื่อง “ถือหุ้นสื่อ” หรือไม่ ถ้าร่วง ต้องโหวตนายกฯ คนใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่มีชื่อให้โหวตแล้ว นายกฯ ก็จะเป็นของ “พรรคเพื่อไทย” ทันที
5.ถ้าการต่อรองไม่ได้เงื่อนไขที่ดี พรรคเพื่อไทยก็รอจนพรรคก้าวไกล “โหวตไม่ผ่านในสภา”พิธาไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะ สว. ยังมีความกังวลเรื่องม.112 สถานการณ์ก็จะเปิดทางให้พรรคก้าวไกลซึ่งมีจำนวน สส.เป็นอันดับรองลงมา มีความชอบธรรมล้านเปอร์เซ็นต์ที่จะตั้งรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่า จะโหวตผ่านในสภา และมีเสียง สว. สนับสนุนมากพอด้วย เนื่องจากไม่ติดข้อกังวลเรื่อง ม.112
ม.112 จึงกลายเป็นเรื่อง “เล่นใหญ่ บิ้วต์คะแนน” แล้วกลายมาเป็นห่วงรัดคอ จนพิธาและพรรคก้าวไกล หายใจแทบไม่ออกอยู่ในเวลานี้ !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี