ประเทศชาติ ไม่ใช่ของเล่น
เพราะการบริหารประเทศ หากผิดพลาดล้มเหลว หรือก้าวผิด คนตกงาน ธุรกิจล้มละลาย เกิดวิกฤตขัดแย้ง สงครามกลางเมือง หรือประเทศเป็นสมรภูมิสงครามตัวแทนให้สหรัฐแบบยูเครน ฯลฯ
คนตายจริง ประเทศล่มสลายได้จริงๆ
1. รัฐบาลใหม่ ต้องไม่แตะ ม.112
กรณีข่าวว่า ขั้วการเมืองที่กำลังฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลเดินสายล็อบบี้สว.กลุ่มอิสระ 50 คน ที่มาจากกลุ่มอาชีพต่างๆ เลือกกันเข้ามา ให้เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี?
สว.ทรงเดช เสมอคำ ระบุว่า ตนเป็นหนึ่งในสว.กลุ่มสายอาชีพ ยอมรับมีฝ่ายการเมืองติดต่อมาพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ไม่ใช่เชิงล็อบบี้ขอคะแนนให้นายพิธา ส่วนตัวแล้วพร้อมโหวตสนับสนุนให้พรรคเสียงข้างมากได้เป็นนายกฯ แต่ไม่ทราบว่าสว.สายอาชีพคนอื่นๆ จะคิดเหมือนกันหรือไม่
“...ขณะนี้สว.ทุกคน ทุกกลุ่มเห็นตรงกันไม่เห็นด้วยกับการแตะต้องมาตรา 112 ไม่ว่าจะยกเลิกหรือแก้ไข ห้ามทำเด็ดขาด กฎหมายเดิมดีอยู่แล้ว ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศชัดเจนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมาตรา 112 เชื่อว่า เสียงสว.พร้อมยกมือให้นายพิธาเต็มสภา จึงต้องรอดูเอ็มโอยูฝ่ายพรรคก้าวไกลในวันที่ 22 พ.ค. จะมีความชัดเจนเรื่องมาตรา 112 อย่างไร
…ฝากบอกพรรคก้าวไกล ต้องพูดให้ชัดเจน ยกเลิกความคิดแก้ไขมาตรา 112 อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดเจน จะแก้ไขโดยการลดโทษมาตรา 112 ก็ไม่ได้ห้ามแตะต้องมาตรา 112 แม้แต่นิดเดียว ถ้าทำได้ สว.ก็พร้อมให้ความเห็นชอบนายพิธา แต่ถ้าไม่ยกเลิกเรื่องนี้ก็เป็นสายล่อฟ้า” - สว.ทรงเดชกล่าว
2. เบื้องหลังความคิดที่จะแก้ ม.112
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ได้รวบรวมข้อมูลชุดความคิดที่อยู่เบื้องหลังแนวทางที่ว่าจะแก้มาตรา 112 อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะลับลวงพรางให้ตนเองได้เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้
บางตอนระบุไว้น่าสนใจว่า
....เมื่อพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง และกำลังพยายามรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล ความแตกแยก ความขัดแย้งดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นยิ่งกว่ายุคใดๆ
มีการข่มขู่คุกคาม สว.ซึ่งมีอำนาจลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาลและคำถามพ่วงท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งผ่านประชามติมาด้วยคะแนนมากว่า 16 ล้านเสียง นอกจากคุกคามสว.แล้วยังคุกคามว่าที่สส.จากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมให้ลงคะแนนให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
หากสส.พรรคอื่นๆ ที่เขาไม่ได้เห็นว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลมีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไปบังคับให้เขาลงคะแนนให้ในสภา เพียงเพราะพรรคก้าวไกลได้จำนวนสส.มาเป็นที่ 1 เราจะต้องไปลงคะแนนในสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีกันไปเพื่ออะไร พรรคไหนได้จำนวนสส.มากที่สุดก็ให้แคนดิเดตของพรรคนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีไปเลยโดยไม่ต้องลงคะแนนกันในสภาไม่ดีกว่าหรือ
บรรยากาศขณะนี้ในบ้านเมืองจึงเป็นบรรยากาศของความขัดแย้ง ไม่ใช่มีกลิ่นของความเจริญ แต่มีกลิ่นของความรุนแรงที่อาจเป็นระดับสงครามการเมืองเลยก็เป็นได้
วันจันทร์ที่ 22 พ.ค.นี้ พรรคก้าวไกลและพรรคการเมืองต่างๆ ที่ได้รับเชิญให้ร่วมรัฐบาล จะได้แถลงผลของการทำ MOU หรือบันทึกความเข้าใจ หรือจะเรียกว่าเป็นข้อตกลงร่วมก็ได้ต่อสาธารณะ ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็รอดูอย่างใจจดใจจ่อว่า ใน MOU จะมีวาระของการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ ข่าวที่ออกมาขณะนี้บอกว่า จะไม่มีเรื่องมาตรา 112 ระบุไว้ใน MOU ดังกล่าว
ทุกคนโดยเฉพาะนักการเมืองเขี้ยวลากดิน คงรู้ดีว่า ไม่ว่าจะมีระบุไว้ใน MOU หรือไม่ พรรคก้าวไกล ซึ่งอยู่ภายใต้เงาของคุณธนาธร อ.ปิยบุตร จะไม่มีทางล้มเลิกการแก้ไขมาตรา 112 อย่างแน่นอน
นอกจากเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของคุณธนาธรและอ.ปิยบุตร บรรดาแฟนคลับหรือด้อมส้มทั้งหลายต่างก็รอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อใดจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และเมื่อใดจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเสียที
คุณศิธา ทิวารี แห่งพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยมีคุณหญิงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ว่า การแก้ไขกฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องนิติบัญญัติ เป็นเรื่องของสภา ไม่ว่าเป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน ก็สามารถเสนอแก้ไขกฎหมายได้ นั่นก็ใช่อย่างที่คุณศิธาพูด แต่นั่นเป็นเพียงการเบี่ยงประเด็น
ประเด็นสำคัญคืออย่างที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประกาศ ซึ่งพูดชัดเลยว่า เขาไม่ต้องการร่วมรัฐบาลกับพรรคที่ต้องการแตะต้องมาตรา 112 เนื่องจากพรรคเขามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
พรรคไทยสร้างไทยเพียงขอให้ไม่บรรจุลงใน MOU นอกนั้นโยนไปให้สภาตัดสิน อย่างนั้นก็ได้หรือ
การขอแก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของพรรคก้าวไกล
เป้าหมายสุดท้ายคือการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ตามแนวทางที่เคยให้แกนนำม็อบ 3 นิ้วเคยประกาศไว้ 10 ข้อ ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ซึ่งถ้าทำได้ทั้ง 10 ข้อ จะทำให้มีพระมหากษัตริย์ก็เหมือนไม่มี
หลายคนคงลืมไปแล้วว่าการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ มีอะไรบ้างเรามาลองทบทวนกันดังนี้
1.ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าผู้ใดจะกล่าวฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ และเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎร สามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร
2.ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมทั้งเปิดให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ได้ และนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทุกคน
3.ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 และให้แบ่งออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่เป็นของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน
4.ปรับลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้สถาบันกษัตริย์ ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
5.ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจนเช่นหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น และหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็น เช่น คณะองคมนตรีนั้นให้ยกเลิกเสีย
6.การบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์ อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด
7.ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
8.ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด
9.สืบหาความจริงเกี่ยวกับการเข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือมีความข้องเกี่ยวใดๆ กับสถาบันกษัตริย์
10.ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก
การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ตามแนวทางนี้เป็นการจำกัดเสรีภาพ และไม่ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจใดๆ ไม่ให้รับเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ถูกใครฟ้องก็ได้ และให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาความผิดของพระมหากษัตริย์ได้ ทั้งยังปรับลดงบประมาณ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ ไม่ให้มีกองทหารรักษาพระองค์เพื่อถวายการอารักขาพระมหากษัตริย์ ไม่ให้มีองคมนตรี ไม่ให้เชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์จนเกินงาม กล่าวหาว่าอาจมีการเข่นฆ่าราษฎร และไม่ให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก
จำกัดกันขนาดนี้ จะเรียกว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร ผู้ที่คิดทำเช่นนี้ได้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่เรียกว่า “เผด็จการ” จะเรียกว่าอะไร
ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในแนวทางการปฏิรูปทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นข้อมูลที่ใช้ป้อนให้คนหนุ่มคนสาว คนรุ่นใหม่มาโดยตลอด จนทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อและเกลียดชังพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
แนวทางการปฏิรูปข้อ 10 ก็เป็นการกล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์ทรงให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารแต่ละครั้ง ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อมีการทำรัฐประหารสำเร็จ หัวหน้าคณะรัฐประหารก็จะเสนอรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ถามว่าพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เหนือการเมือง ทรงมีทางเลือกอื่นหรือ แต่ขณะนี้บรรดาด้อมส้ม ต่างก็มีความเชื่อแบบนี้ทั้งสิ้น
น่ากลัวมากที่ พรรคการเมืองที่มีความคิดเช่นนี้ มีโอกาสมีอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ และหากเข้าไปดูเนื้อในของนโยบาย เช่น การปฏิรูปกองทัพ ที่จะยกเลิกสภากลาโหม และอาจไปไกลถึงขั้นไม่ให้มีผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้พลเรือนเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารแต่ละเหล่าทัพแทน
คำถามคือ พรรคการเมืองที่มีความคิดและนโยบายแบบนี้ หากเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จะไปรอดหรือ
คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ พรรคการเมืองที่ยังเห็นความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าต้องคงอยู่ในประเทศไทยต่อไป และรู้ทั้งรู้ว่าพรรคนี้กำลังจะทำอะไร ยังยินดีร่วมงานด้วยหรือ
ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ เพราะทุกพรรคที่เข้าร่วมทำ MOU ยังคงเล่นเกมการเมืองกันอยู่ แต่อีกไม่นานเราก็คงจะทราบได้
แต่ไม่ว่าจะออกทางไหน โอกาสที่จะมีการลงถนนประท้วง และมีการปะทะกันถึงขั้นเลือดตกยางออก มีความเป็นไปได้สูงมาก
ขอให้ทุกท่านเตรียมรับมือกันไว้ให้ดีก็แล้วกัน...
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี