ขณะนี้ อยู่ในช่วงเวลาที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับทีมเจรจาของพรรค เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลอยู่ แต่ใช่ว่าหนทางจะราบรื่น ถนนสู่เก้าอี้นายกฯ ยังคงขรุขระ ทั้งเรื่อง “หุ้นไอทีวี” ที่อาจทำให้ “ส้ม” กลายเป็น “แห้ว” ว่าที่นายกฯ ตกสวรรค์
ไหนจะต้องตัดเงื่อนไขใน MOU เพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล เอาใจ สว. และเอาใจกองเชียร์ ครั้นจะไม่ทำ กองเชียร์ก้าวร้าวที่เคยเถื่อนถ่อยใส่คนอื่นมาก่อน ก็จะย้อนกลับมาลุย “พิธา” และ “พรรคก้าวไกล” เอาได้ เพราะก่อนหน้านี้แอ๊กชั่นไว้สุดโต่ง ทะลุเพดาน ถึงเวลาทำจริง กลับไม่ง่าย บางเรื่องต้องชะลอไว้ ยังไม่ทำ บางเรื่องต้องตัดออกจาก MOU ยอมอ่อนข้อ ลดท่าทีแข็งกร้าวลงไป ตามแรงต่อรองของพรรคร่วม
จน...
1) ต้องปรับเป็น MOU ร่าง 2 ซึ่งยังคงไม่มีเรื่อง ม.112 ไม่มี และเพิ่มการยอมรับหลักการ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
โดยนายพิธา กล่าวว่า “…MOU (ภารกิจที่ทุกพรรคร่วมผลักดัน) ต้องไม่กระทบกับรัฐ ไม่กระทบกับการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์...”
เรื่องนี้จึงต้องดูว่า “มวลมหาประชาชนพลเมืองส้ม”จะ “ออกอาการ” อย่างไร โดยเฉพาะแผนกกดดันพิธา อย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” จะฟาดงวงฟาดงาอย่างไร
2) ฟัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ ก็ได้ทราบว่า “สิ่งที่อยู่ในเอ็มโอยู เป็นสิ่งที่คิดว่าจะทำร่วมกัน ส่วนนโยบายของแต่ละพรรคที่ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยู แต่ละพรรคก็มีสิทธิที่จะเสนอ”
เมื่อถามว่า มาตรา 112 ไม่อยู่ในเอ็มโอยู ทั้งที่สว.มองว่าเรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะโหวตเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ ถือเป็นอุปสรรคหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การที่ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยูแปลว่าไม่ได้มีเงื่อนไขแล้วต้องทำ สิ่งที่อยู่ในเอ็มโอยูคือสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้น คือ ไม่มีแก้มาตรา 112 เรื่องมาตรา 112 จะเป็นนโยบายแต่ละพรรค ที่จะไปผลักดันในสภาฯไม่เกี่ยวกับการร่วมรัฐบาล
เมื่อถามว่า หากพรรค ก.ก.แก้ไขมาตรา 112 ในสภาฯ จะไม่เป็นเงื่อนไขในการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน หากเป็นกฎหมายที่พรรคใดพรรคหนึ่งอยากผลักดัน ก็สามารถที่จะเสนอได้ แต่รัฐสภา จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ตนไม่ทราบ ทั้งนี้ จุดยืนของพรรคเราชัดเจนตั้งแต่แรกย้ำว่าจุดยืนของเรา ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112
ขณะที่นายพิธาก็ตอบคำถามสื่อเช่นกันว่า เรื่อง ม.112 พรรคก้าวไกลคงจะผลักดันเป็นนโยบายเฉพาะของพรรคต่อไป และทีมเจรจากับ สว. ก็ได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว ว่า ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
3) แต่ที่ต้องกังวล ซึ่งไม่รู้ว่านายพิธากับพรรคก้าวไกลกังวลหรือไม่ เพราะพรรคร่วมอื่นๆ คงไม่กังวล เพราะหากนายพิธาไม่ผ่านการโหวต เพราะได้เสียงจาก สว.ไม่พอ พรรคเพื่อไทยก็ลุกขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคร่วมทั้งหมด ยกเว้นก้าวไกล คงย้ายตามมา และอาจมีพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ หรือทั้งสองพรรคเข้าไปเติมด้วยก็ได้ แต่ต้องเคลียร์กับภูมิใจไทยเรื่องนโยบายกัญชาเสียก่อน เพราะเอ็มโอยูขณะนี้ ให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดใหม่
4) เรื่องกัญชานี้ ก็ส่อแววจะเป็นปัญหาของพรรคก้าวไกลกับนายพิธาด้วย โดย นายประสิทธิ์ชัย หนูนวลแกนนำเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ประกาศจุดยืนของเครือข่ายฯ หลังจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลเสร็จสิ้น ว่า กรณีที่พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดนั้น ขอเรียนว่ากัญชาคือความมั่นคงทางยาที่คนยากจนและคนที่รักษาโรคในโรงพยาบาลไม่หายล้วนพึ่งพากัญชารักษาให้พ้นจากความทุกข์ทรมานของร่างกายและช่วยให้ครอบครัวไม่ล่มสลายทางเศรษฐกิจจากค่ารักษาที่แสนแพง
“ความดัดจริตของพรรคก้าวไกล คือ ไม่พิจารณากัญชาจากข้อเท็จจริง แต่ดำเนินการภายใต้การช่วงชิงทางการเมืองและยินยอมหักกับประชาชนด้วยการเปลี่ยนหลักการของกัญชา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พรรครับ พ.ร.บ.กัญชาของประชาชนไปผลักดัน โดยเฉพาะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรควันก่อนบอกว่า มันต้องหลุดจากยาเสพติด แต่วันนี้พูดอีกอย่าง เพราะเหตุผลจะเอาชนะทางการเมือง”
เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยจะยุติการชุมนุมหากพรรคก้าวไกลตอบคำถาม 2 ข้อนี้ได้อย่างชัดเจน โดยปราศจากอคติ ประการที่ 1 พรรคก้าวไกลต้องทำข้อมูลเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของ สุรา บุหรี่ กัญชา โดยต้องนำงานวิจัยมาแสดงให้เห็นว่า ข้อเสียของสุรา บุหรี่ กัญชา คืออะไร อุบัติเหตุที่เกิดรายวันจากการดื่มสุราปีละกี่คน นอกจากนี้ต้องนำงานวิจัยและตัวเลขการเกิดโรค และการตายทั้งจากสุรา บุหรี่ และกัญชา นำมาแสดงต่อสาธารณะ รวมถึงต้องนำงานวิจัยหรือกรณีศึกษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สุรา บุหรี่ และกัญชา รักษาโรคได้กี่โรคและมีผลปรากฏการรักษาอย่างชัดเจน มีกรณีตัวอย่างให้ประชาชนได้เห็นจริง ย้ำว่าข้อมูลทั้งหมดต้องเป็นวิทยาศาสตร์มีแหล่งอ้างอิงเชิงเอกสารหรือเชิงกรณีศึกษา อย่าเอาอคติมาเจือปน เมื่อนำข้อดีข้อเสียทั้ง 3 สิ่งมาเปรียบเทียบจึงค่อยตัดสินว่า สิ่งใดควรเป็นยาเสพติดและไม่เป็นยาเสพติดและเมื่อมีหลักฐานพบว่า กัญชามีข้อเสียกว่าทั้ง สุรา และบุหรี่ เครือข่ายฯ ยินดีสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้นำกัญชาไปสู่ยาเสพติด
ประการที่ 2 พรรคก้าวไกลต้องตอบคำถามผลกระทบของการสนับสนุน พ.ร.บ.สุราเสรี ว่าเมื่อออกกฎหมายนี้ขึ้นมาจำเป็นต้องประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายหากผ่านการเห็นชอบ มีสองเรื่องย่อยที่พรรคต้องตอบในกรณีนี้คือผลกระทบทางสุขภาพและอุบัติเหตุที่จะเกิดจากการเข้าถึงสุรามากขึ้น และทำไมพรรคจึงสนับสนุนทลายการผูกขาดสุรา แต่กลับนำกัญชาไปสู่เงื่อนไขเฉพาะคือยาเสพติดซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่ผลิตกัญชาได้ ประชาชนมีหน้าที่หาเงินไปซื้อ ทั้งที่ภูมิปัญญาการใช้อยู่กับประชาชนมาหลายร้อยปี กัญชาจะกลายเป็นรูปแบบของเบียร์ในปัจจุบัน คือ ประชาชนใช้ได้แต่ต้องหาเงินมาซื้อเอาเอง
5) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้เรียกตัวเองล่าสุดว่า “นักสังเกตการณ์ทางการเมือง” โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “นิรโทษกรรม คดีการเมือง” โดยมีเนื้อหาว่า
ผมอ่านคร่าวๆ ทำนอง ว่า MOU จะมีเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีการเมืองด้วย
-เรื่องนิรโทษกรรม เคยมีการตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณา ทั้งใน และ นอกสภา หลายครั้ง แต่ไม่มีข้อยุติ จนเมื่อมีการนำเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสู่สภา ก็กลายเป็น “นิรโทษกรรมสุดซอย” จึงมีการชุมนุมใหญ่ เป็นเหตุให้มีการยึดอำนาจ
-ในวินาทีที่มีการยึดอำนาจ ผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ใครพูดอะไร ในขณะนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ผมนี่แหละนำมาเขียนในเฟซบุ๊ก
-เรื่อง นิรโทษกรรม ไม่ง่ายครับ ปัญหาที่พบ คือ
1. คดีการเมือง คือ อะไร มันไม่มีการบัญญัติไว้ในกฎหมายว่า คดีใด คือ“คดีการเมือง” อาจจะอนุมานได้ว่า คดีกบฏ หรือ คดีล้มล้างการปกครอง คือ คดีการเมือง แต่การชุมนุมครั้งนั้น ไม่มีใครโดนข้อหาเหล่านี้ การนิรโทษกรรมจึงไม่มีใครได้ประโยชน์
2. คดีเผาสถานที่ราชการ หรือ สถานที่ของเอกชน ที่มีบางคนกล่าวว่า“เผาไปเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”คดีเหล่านี้ ก็เคยถกเถียงกัน ว่า ไม่ใช่คดีการเมืองประกอบทั้ง ผู้กระทำผิดก็พ้นโทษหมดแล้ว การนิรโทษกรรมจึงไม่มีประโยชน์
3. ที่มีปัญหามาก คือ “คดีทุจริต” ในบางรัฐบาล มีนักการเมือง รัฐมนตรี และ ข้าราชการ โดนจำคุกในคดีทุจริตมากที่สุด คดีเหล่านี้ ไม่ถือเป็นคดีการเมือง หากนิรโทษ เกิดการชุมนุมรอบใหม่แน่
ผมไม่ได้ “ชักใบให้เรือเสีย” แต่พอเริ่มทำ MOU ก็จะมีปัญหาตามมา ว่า “คดีการเมือง” คืออะไร อย่าลืมนะครับ ในการชุมนุม ก็มีทหาร ตำรวจ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตเยอะเหมือนกัน
4.ผมจำได้ว่า ตอนผมเป็นกรรมการพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรม เรามีข้อสรุปว่า ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เราต้องเริ่มต้นจากหลักว่า 1. ค้นหาความจริง 2.เปิดเผยความจริง 3. จัดการกับความจริง 4.ลืม
5. บางเรื่องมันต้องให้เวลาแก้ปัญหา อย่างอื่นมันนำมาใช้แก้ปัญหาไม่ได้ “เวลา” คือยาสมานแผลที่ดีที่สุด การ“ลืม” นี่เป็นหลักสากลทั่วโลกในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ที่รัฐบาลหลายประเทศเขาทำสำเร็จแล้ว ความขัดแย้ง มันจะเริ่มตั้งแต่การค้นหาความจริง แต่หลายคน ไม่อยากให้ค้นหาความจริง ยิ่งค้นหา แล้ว นำความจริงมาเปิดเผยด้วย ก็เหมือนเอาบางคนมาแก้ผ้าล่ะครับ เชื่อเถอะไม่มีใครยอมหรอก
- ยิ่งหากท่านว่าที่นายกรัฐมนตรี จะพ่วง คดี ม.112 เป็นคดีการเมืองด้วย เหมือนเติมฟืนเข้าในกองไฟเลยครับ อย่าทำเป็นโลกสวยไปนะครับ
6. สิ่งที่ยากที่สุดตอนนี้ คือ การบริหารอารมณ์ของกองเชียร์ครับ มันยากกว่าการพูดและโบกมือบนหลังคารถมาก ประเภท “มีกรณ์ไม่มีกู มีกูไม่มีกรณ์ หรือ “ฉันเกิดในรัฐบาล 9 ไกล” อย่าให้กองเชียร์ทำเลยครับ ไม่งั้นอาจจะมี “มีทิม ไม่มีกู มีกูไม่มีทิม” บ้านเมืองก็ไปไม่ได้
เมื่อเรียกตัวเองว่า เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าสร้างประเทศนี้ ด้วยความโกรธแค้น ชิงชัง เลยครับ ห้ามกองเชียร์หน่อย
เห็นไหมล่ะครับ ว่า กองเชียร์ไม่แค่ “นักวางระเบิดอารมณ์” ถล่มคนอื่น แต่เป็น “ระเบิดเวลา” ของว่าที่นายกฯ พิธา และพรรคก้าวไกลด้วย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี