ประเทศไทยแม้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว ควรที่ระบอบการปกครองนี้จะมีความตั้งมั่นเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองให้มีความมั่นคงและราษฎรทั้งหลายมีความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าโดยถ้วนหน้ากัน
แต่มาถึงวันนี้ความเป็นปกติดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ยิ่งนับวันความเสื่อมทรามเสื่อมโทรมและสิ่งที่เรียกว่าการเมืองแบบอุบาทว์กลับขยายตัวเติบใหญ่ขึ้นและมีความกว้างขวางมากขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและราษฎรมากยิ่งขึ้น
นักการเมืองโดยทั่วไปกลายเป็นสัตว์สังคมที่น่าขยะแขยง มีลักษณะกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหลทุจริตฉ้อโกงเอาเปรียบข่มเหงแทบทุกรูปแบบ กระทั่งตั้งตนเป็นเจ้าเมืองในท้องถิ่นของตนหรือที่เรียกว่ามินิโมนาคี ตั้งระบบสืบทอดสันตติวงศ์ทางการเมืองจนกลายเป็นอาชีพทางการเมืองในหลายพื้นที่หลายจังหวัด
หลังการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ได้มีการตั้งคณะร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็ได้นำความมาแฉต่อสาธารณะว่าต้องทำงานร่างรัฐธรรมนูญตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ ซึ่งจะเป็นไอ้โม่งคนไหนนั้นท่านไม่ได้เปิดเผย แต่ทำให้เชื่อได้ว่ามีคนบงการในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งถึงวันนี้ก็เป็นที่รู้กันทั่วไป
แม้กระนั้นรัฐธรรมนูญก็มีแบบแผนวิธีการร่างอยู่บางส่วนที่ต้องมีบทพระราชปรารภของพระมหากษัตริย์ ซึ่งในรัฐธรรมนูญ 2560 นี้มีลักษณะแตกต่างกว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มา เพราะเป็นการแสดงอริยสัจทางการเมืองการปกครองของประเทศ
โดยสรุปคือบ้านเมืองเกิดวิกฤต ซึ่งได้มีคำพรรณนาอยู่ในบทพระราชปรารภนั้นชัดเจนแล้ว ซึ่งต้องถือว่านี่คือการแสดงอริยสัจของประเทศที่เกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
ในบทพระราชปรารภนั้นได้แสดงเหตุแห่งวิกฤตหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสมุทัยอริยสัจทางการเมืองของความเป็นกลียุคว่าเกิดจากเหตุสี่ประการ คือ การทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจ และการไม่นำพาต่อความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎร
การแสดงสมุทัยอริยสัจของบ้านเมืองในบทพระราชปรารภตอนนี้หมายความว่าวิกฤตนั้นได้เกิดขึ้นและสืบเนื่องมาตั้งแต่ก่อนวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายพึงน้อมนำสำนึกว่าการมีบทพระราชปรารภเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจและน้อมใจนำไปแก้ไขให้พ้นจากวิกฤตตามบทพระราชปรารภนั้นโดยไวที่สุด
แต่ปรากฏว่าการกลับตรงกันข้าม นับตั้งแต่มีบทพระราชปรารภดังกล่าวแล้วถึงวันนี้วิกฤตของบ้านเมืองนอกจากไม่ลดน้อยถอยลงแล้วกลับรุนแรงหนักหน่วงและขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น ทำให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นสองพวก ซึ่งถูกขีดเส้นแบ่งชี้หน้าด่ากันเองว่าฝั่งหนึ่งเป็นพวกจงรักภักดี อีกฝั่งหนึ่งเป็นพวกล้มเจ้า
ทั้งที่สมเด็จพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง มิได้ทรงเกี่ยวข้องใดๆ ทางการเมือง และไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ในความขัดแย้งดังกล่าวนั้นเลย ดังนั้นการแบ่งแยกลักษณะเช่นนี้จึงไม่เป็นธรรมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการผลักไสไล่ส่ง
พสกนิกรของพระองค์ให้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งอาจถือได้ว่าเป็นอริราชศัตรูที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
วิกฤตในบ้านเมืองของเราอันเกิดแต่เหตุสี่ประการนั้นยิ่งลุกลามบานปลายมากเท่าใด ความขัดแย้งก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่ในที่สุดการเลือกตั้งก็ต้องมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง และเมื่อมาถึงแล้วก็ปรากฏฉันทามติของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศอย่างชัดเจนว่ามหาชนมีฉันทามติต้องการเปลี่ยนแปลงการบริหารจากสภาพที่เป็นอยู่
เป็นความตื่นตัวและเป็นฉันทามติที่ยิ่งใหญ่และหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของประเทศไทย อันควรที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจะได้น้อมรับฉันทามติของปวงชนชาวไทยดังกล่าว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นบ้านเมืองของเราย่อมจะดีกว่านี้แน่
แต่ปรากฏว่ามีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ส่อให้เห็นว่ามีผู้พยายามที่จะปฏิเสธฉันทามติของประชาชน ตั้งแต่กระบวนการหน่วงเหนี่ยวถ่วงรั้งเพื่อไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยรวดเร็ว และยังมีข่าวคราวถึงกระบวนการที่จะทำลายผลการเลือกตั้งที่ประชาชนได้มอบฉันทามตินั้นในรูปแบบต่างๆ
แต่ก็ไม่อาจปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงได้ นั่นคือเพื่อการดำรงไว้ซึ่งการบริหารแบบเดิมให้นานที่สุดหรือตลอดไป และนี่ก็คือไฟชนวนที่กำลังถูกวางไว้อย่างกว้างขวางในบ้านเมืองของเรา รอวันเวลาใดที่จะจุดระเบิดขึ้นพร้อมกันก็จะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและราษฎร
ประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงประเทศทั้งหลายก็จะรีบเร่งดำเนินการให้ผลการเลือกตั้งนั้นสัมฤทธิ์ คือทำให้เกิดรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมืองโดยเร็วที่สุด กระบวนการขั้นตอนต่างๆ ก็จะคล้อยตามเป็นไปในทางเดียวกัน เพื่อให้การถ่ายโอนอำนาจสู่รัฐบาลใหม่ตามฉันทามติของปวงชนได้เข้าทำหน้าที่โดยไว
ส่วนรัฐบาลเก่าก็จะไม่มีใครต้องการยื้อยุดอำนาจไว้อีก จะมีความสำนึกในการถ่ายโอนอำนาจเพื่อสนองตอบต่อความปรารถนาของปวงชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แม้กระทั่งในระหว่างกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลก็มีกระบวนการเตรียมการถ่ายโอนอำนาจไว้พรั่งพร้อม
ด้วยความสำนึกว่ารัฐบาลเดิมนั้นได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ต้องทำหน้าที่รักษาการไว้ตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น ซึ่งมิได้มีอำนาจเหมือนกับรัฐบาลปกติ และความพร่องแห่งอำนาจนี้ก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่งของบ้านเมืองและความทุกข์ยากของราษฎรที่จะปล่อยให้นานช้าต่อไปไม่ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี