เพราะนายกรัฐมนตรีของไทยคือตำแหน่งที่ถูกมองว่าใครๆ ก็สามารถเป็นได้ เพราะนายกรัฐมนตรีไทยมาจากหลากหลายรูปและหลากแบบกรรมวิธี เช่น แต่งตั้ง เลือกตั้ง
แล้วยังสามารถมาจากยึดอำนาจก่อการรัฐประหาร
มิหนำซ้ำ ยังพบเห็นได้อีกว่า คนบางคนไม่เคยทำงานการเมืองมาก่อนเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าไร้ประสบการณ์การเมืองโดยแท้ แต่ก็อุตส่าห์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างง่ายดาย แต่ที่สุดแสนอัศจรรย์ยิ่งกว่าคือ คนบางคนสามารถชูคอลอยหน้าเป็นนายกรัฐมนตรีไทยได้ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามีสถานภาพไม่ต่างไปจากหุ่นเชิด หุ่นชักของใครบางคน
ดังนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรีไทยของคนบางคนจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นได้ง่ายดายมากเหลือเกิน เพราะไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์การบ้านการเมือง ไม่ต้องรู้หลักกฎบัตรกฎหมาย ไม่ต้องรู้กฎระเบียบของรัฐสภา และไม่ต้องรู้เรื่องรู้ราวใดๆ แต่ขอให้มีแรงหนุนส่งขอให้มีอำนาจเงิน และอำนาจการเมืองหนุนหลัง ก็สามารถก้าวขึ้นไปนั่งกินตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว เพียงแค่ขอให้มีผิวหน้าที่แข็งแรง และทานทนมากกว่าคนปกติ ที่มีหิริโอตตัปปะเท่านั้นเป็นพอ
จึงมีคำถามว่า สรุปแล้วคนที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยหลายรายที่เคยเป็นมาแล้วนั้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถ ไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อบ้านต่อเมืองและต่อประชาชน แล้วก็ไม่ต้องมีสติปัญญาด้วย ใช่หรือไม่
เราได้เห็นกันมาแล้วว่า นายกรัฐมนตรีไทยบางคนได้ตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหาร เพราะเมื่อทหารก่อรัฐประหารเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้จะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นทหารที่ก่อเหตุรัฐประหารเอง แล้วจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนนายกรัฐมนตรีเสียเอง ก็เกรงว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ ในที่สุด ก็เลยจำต้องไปเชื้อเชิญคนบางรายที่ดูเสมือนว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า มีการศึกษาดีจากต่างประเทศ และมีความเป็นขุนน้ำขุนนางเก่าอยู่ในตัว แล้วก็ยังดูว่ามีความเป็นผู้รากมากดีพอประมาณ ว่าแล้วก็จึงเชิญให้ไปกินตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่น่าประหลาดใจมาก ที่คนซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้ตำแหน่งมาจากการรัฐประหารเมื่อวันวาน แต่มาบัดนี้กลับบอกว่าไม่ศรัทธาคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แถมยังแสดงอาการรังเกียจคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งทำให้วิญญูชนตั้งคำถามโดยพลันว่า สงสัยคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการรัฐประหารในยุคก่อน น่าจะเกิดอาการเสียสติ หรืออาจฟั่นเฟือน ด้วยอาจเพราะว่าลืมไปว่าตนเองนั้นก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นการแสดงอาการรังเกียจดังกล่าวจึงเท่ากับแสดงความรังเกียจตัวเองไปโดยปริยาย
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คือนายกรัฐมนตรีไทยบางคนในอดีต แต่มาในบัดนี้ ประเทศไทยดูเสมือนอยู่ในฉากละครชวนหัวที่ตลกยิ่งกว่ายุคก่อนๆ คือ มีเณรน้อยที่เพิ่งโกนหัวแล้วห่มผ้าเหลืองได้ไม่กี่เพลา แต่ประกาศกร้าวกล้าแบบบ้าบิ่นว่าตนจะขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด เพราะชะล่าใจที่ตนเองมีแก๊งเณรน้อยคอยตะโกนเชียร์ให้ขึ้นไปกินตำแหน่งสมภาร
น่าสนใจว่า ทำไมเณรจึงหลงตัวเองได้ถึงเพียงนี้ เณรเคยรู้บ้างไหมว่าตำแหน่งสมภารเจ้าวัดนั้นต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เณรคิดว่าตนเองจะเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ได้จริงๆ หรือ เณรคิดหรือเชื่อใช่ไหมว่า สมภารไม่มีอะไรต่างไปจากเณร เพราะก็แค่คนโกนหัวแล้วห่มผ้าเหลืองเหมือนๆ กัน
เมื่อพิจารณาตามหลักความเป็นจริงแล้ว เคยมีวัดแห่งใดบ้างหรือไม่ที่อนุญาตให้เณรทำหน้าที่สมภารเจ้าวัด
หากวัดใดมีเณรทำหน้าที่สมภารเจ้าวัดขึ้นมาจริงๆ วัดนั้นจะโกลาหลวุ่นวายมากมายสักเพียงใด ขอให้ลองไปคิดดูกันเอาเองก็แล้วกัน
กลับไปที่เรื่องหัวหน้าพรรคการเมืองกระดูกอ่อนประกาศกร้าวว่าตนเองคือนายกรัฐมนตรีของไทย นอกจากนั้นยังประกาศเรื่อยเปื่อยอีกด้วยว่า ตนเองจะเข้ามาเปลี่ยนแปลง ล้มล้างระบบเก่าๆ ของบ้านของเมือง จะทำบ้านเมืองให้ทันสมัย จะปฏิรูประบบระเบียบต่างๆ ที่เคยมีมาก่อนในบ้านในเมือง เช่น ต้องปรับเปลี่ยนมาตรา 112 (แต่คนที่รู้ทันบอกว่าต้องการล้มล้างมาตรา 112 และล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์)
ถามจริงๆ บ้านไหนจะกล้าให้เด็กเมื่อวานซืนขึ้นมาทำหน้าที่ผู้บริหารจัดการกิจการต่างๆ ภายในบ้าน ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่า เด็กน้อยที่ว่านั้นปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทั้งยังต้องให้พี่เลี้ยงล้างก้นให้อีกด้วย แล้วยังต้องให้พี่เลี้ยงพาไปเข้านอน พร้อมกับร้องเพลงกล่อมให้นอนทุกค่ำ แถมในช่วงเช้ายังต้องคอยปลุกให้เด็กน้อยตื่นจากที่นอน เพราะมิฉะนั้น จะไปโรงเรียนสาย
เราอาจจะเคยเจอบางบริษัทที่มีผู้บริหารเป็นเด็ก (ที่ชอบเรียกตัวเองว่าคนรุ่นใหม่ ทันสมัย หัวก้าวหน้า ศรัทธาหลักการเสรีนิยม) แล้วเราก็ได้เห็นกันมานักต่อนักแล้วว่า ในที่สุดแล้วบริษัทนั้นก็ต้องมีอันเป็นไปเร็วกว่าปกติ โดยก่อนจะปิดกิจการลงนั้น ได้เกิดความโกลาหล สับสน ปั่นป่วนภายในบริษัทจนหาความสงบสุขมิได้แม้แต่น้อย จนหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมจึงเอาเด็กขึ้นมาบริหารบริษัท ดันขึ้นมาได้อย่างไร ขึ้นมาเพื่อสร้างความพินาศบรรลัยให้บริษัทโดยแท้
ความเป็นเด็กไม่ใช่เรื่องผิด เพราะผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กมาก่อน แต่การเป็นเด็กที่อวดดี ปากกล้าในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แถมยังแกว่งปากไปเสียทุกเรื่อง พล่ามเพ้อโดยไร้สติ ไม่พิจารณาถึงกาลเทศะ แถมยังไม่นำพาว่าเป็นการแกว่งปากเพื่อสร้างความวิบัติบรรลัยให้ทั้งองค์กรและตนเอง
องค์กรใดที่มีผู้บริหารกระดูกอ่อน ไร้ประสบการณ์ ไร้ความคิด ขาดเหตุผล นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมขององค์กรและเพื่อนร่วมองค์กรโดยแท้ ผู้บริหารชนิดนี้ขาดวิสัยทัศน์ ทำอะไรที่เป็นเรื่องดีงามไม่ได้ แต่ทำได้แค่เพียงทำให้องค์กรเละเทะเลอะเทอะและมั่วซั่ว เดินไปอย่างไร้ทิศผิดทาง เพราะเมื่อไร้วิสัยทัศน์แล้ว แถมยังไม่รู้ว่า
พันธกิจสำคัญขององค์กรคืออะไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จึงมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น คือความพินาศบรรลัย
คนไทยยังโชคดีที่รู้ตัวว่าประเทศของเรานั้นมีเณรน้อยที่ประกาศกร้าวจะเป็นสมภาร เมื่อเรารู้ชัดเจนเช่นนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เณรน้อยกระโจนขึ้นไปกินตำแหน่งสมภาร แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้สมภารแก่ๆ เก่าๆ ซึ่งเป็นคนแก่จำพวกแก่กะโหลกะลา แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน แก่แต่หาสาระมิได้ เพราะคนแก่หรือสมภารแก่แบบกะโหลกกะลา ก็ไม่ได้ดีงามมากไปกว่าเณรน้อยด้อยปัญญา
เราไม่ปฏิเสธเลย หากเณรมีสติปัญญาดีมากพอ จนสามารถก้าวขึ้นไปเป็นสมภารเจ้าวัด และสามารถทำหน้าที่บริหารจัดการวางระบบระเบียบต่างๆ ภายในวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาคือเราไม่มีเณรน้อยเจ้าปัญญา แต่ทว่าเรามีแต่เณรน้อยผู้สร้างสารพัดปัญหาตลอดเวลา แถมยังสร้างปัญหาโดยไม่หยุดไม่หย่อนอีกด้วย
เราต้องปวดหัวเป็นอย่างมากกับการที่จู่ๆเณรน้อยไร้ปัญญาก็ประกาศโพล่งขึ้นมาว่าจะไม่เอาพระประธานองค์เดิม แล้วยังประกาศอีกว่าในโบสถ์ไม่จำเป็นต้องมีพระประธาน เพราะการมีพระประธานเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แถมยังว่าร้ายอีกว่าพระประธานคือตัวปัญหา เป็นตัวที่สร้างให้เกิดความไม่เท่าเทียมภายในวัด ดังนั้นจึงต้องโยนพระประธานทิ้งไป
เณรน้อยไร้ปัญญาซึ่งเพิ่งเกิดได้เพียงไม่กี่ฤดูฝน หารู้ไม่ว่าพระประธานในโบสถ์นั้น อยู่เป็นพระประธานในโบสถ์ของวัดมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 200 ปี แต่ด้วยความสู่รู้เพราะไร้ปัญญาของเณรจึงแสดงความเขลาออกมาด้วยการประกาศไม่เอาพระประธานองค์เดิม แต่จะไปเสาะแสวงหาพระประธานองค์ใหม่มาทดแทนของเดิม
นี่คือเครื่องยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเณรไร้ปัญญาโดยแท้ เท่านั้นยังไม่พอ เณรจอมเขลายังประกาศจะรื้อหลังคาโบสถ์ เพราะเห็นว่าโบสถ์ยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องมีหลังคาอีกต่อไป เพราะเณรเคยอยู่บ้านที่ไม่มีหลังคาคุมกบาลมาก่อน
จะเห็นว่าเณรนำมาซึ่งความสับสนอลหม่านสารพัดสารพัน นำมาซึ่งความสับสนโกลาหลวุ่นวาย พูดภาษามนุษย์ด้วยกับเณร เณรก็ไม่เข้าใจ
ถามจริงๆ เราจะยอมให้เณรไร้ปัญญาทำหน้าที่สมภารเจ้าวัดของเราจริงๆ หรือ เราจะปล่อยให้เณรทำลายวัดของเรากระนั้นหรือ เราไม่จำเป็นต้องฆ่าเณรหรือทำร้ายเณร เพียงแค่เราช่วยรักษาชีวิตของเณรไว้ให้ยาวนานขึ้น เพื่อให้เณรได้สำเหนียกด้วยตนเองในอนาคตว่า เณรเคยคิดผิดขั้นมหันต์มาก่อน เราเชื่อว่าเมื่อเณรเติบโตมากขึ้น สติปัญญาจะเพิ่มมากขึ้น แล้ววันนั้น เณรจะรู้ตัวเองว่า เณรทำผิดอะไรลงไปบ้าง เราหวังว่าเณรจะไม่ละอายจนฆ่าตัวตายแต่หวังว่าเณรจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยเลวร้ายแล้วหันกลับมาช่วยบำรุงรักษาวัดที่เณรเคยคิดจะทำลายล้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี