อาณาจักรแรกของชาติไทยที่เรียกกันในอดีตว่าชาติสยามนั้น เริ่มต้นเมื่อปี พุทธศักราช 1762 เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย และพระองค์ได้ขึ้นครองอาณาจักรเป็นพระองค์แรก และมีพระมหากษัตริย์ครองราชย์ต่อมาอีก 7 พระองค์จนถึงปีพุทธศักราช 1981 โดยอาณาจักรนี้ได้เริ่มเสื่อมอำนาจลงในปลายสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพระยาลิไท และในที่สุดก็ตกเป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช 1921 แต่ก็มีกษัตริย์ปกครองเมืองมาจนถึงสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 4 จึงรวมเป็นอาณาจักรเดียว มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
การสถาปนากรุงศรีอยุธยา เกิดขึ้นตั้งแต่ปีพุทธศักราช 1893 ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งเสวยราชสมบัติเมื่อมีพระชนม์ได้ 37 พรรษา ซึ่งในขณะนั้นมีเมืองประเทศราชภายใต้การปกครอง 16 เมือง ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือตอนล่างลงไปจนถึงภาคตะวันออก เช่น เมืองจันทบูร และรวมไปถึงภาคใต้ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช โดยมีอีกเมืองหนึ่งที่สำคัญมากคือ พิษณุโลก ซึ่งได้มาจากอาณาจักรสุโขทัย และเป็นเมืองที่พระมหาอุปราชของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ จะได้รับการสถาปนาให้ครองเมืองพิษณุโลกเสมอมา
การที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของราชอาณาจักรสยาม โดยมีเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองประเทศราชที่สำคัญนั้นผ่านมาด้วยดีระยะหนึ่ง จนกระทั่งถึงสมัยที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา จึงเริ่มเกิดเรื่องราวซึ่งในที่สุดนำมาซึ่งความแตกแยก โดยในครั้งนั้นพระองค์ได้แต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นผู้กู้แผ่นดินจากคนนอกบัลลังก์ คือ ขุนวรวงศาธิราช ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก โดยได้พระราชทานพระวิสุทธิกษัตรีย์ ซึ่งเป็นพระราชธิดา ให้เป็นพระมเหสีด้วย จึงมีฐานะเป็นพระราชบุตรเขย
ในปีพุทธศักราช 2091 พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้หรือพระเจ้าหงสาวดี ได้ยกทัพใหญ่ มีกำลังพล 3 แสนคน เพื่อมาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ยกทัพโดยมีสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระมเหสีซึ่งแต่งองค์เป็นพระมหาอุปราชตามเสด็จด้วย ซึ่งในที่สุดได้นำมาซึ่งความสูญเสีย โดยสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ซึ่งได้เข้าช่วยรบป้องกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจากอริราชศัตรู ได้ถูกพระแสงของ้าว ของพระเจ้าแปร แม่ทัพหน้าของพม่า ฟันด้วยของ้าวจนสิ้นพระชนม์บนคอช้าง นับเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ และถือว่าเป็นวีรสตรีของชาติ ทั้งนี้เมื่อทางพม่าทราบว่าเป็นพระมเหสี ซึ่งเป็นสตรีเพศต้องเสียชีวิตลง จึงยกทัพกลับในที่สุด
หลังพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้สวรรคต พระเจ้าบุเรงนองได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน พระองค์ยังคงมุ่งมั่นที่จะรวบรวมประเทศในบริเวณนั้น เพื่อแสดงแสนยานุภาพ และขยายอาณาเขตของพม่าให้เป็นอาณาจักรใหญ่ โดยกรุงศรีอยุธยาก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญ ในขณะนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงมีช้างเผือกอยู่ในครอบครองถึง 7 เชือก พระเจ้าบุเรงนองจึงส่งพระราชสาส์นเพื่อขอช้างเผือก 2 เชือก เพื่อเอาไปประดับบารมี เมื่อได้รับการปฏิเสธ จึงเอาเป็นเหตุอ้างยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช 2107 ซึ่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ได้นำทัพเข้าต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อทรงเล็งเห็นว่าจะต่อสู้ทัพพม่าไม่ได้ จึงขอสวามิภักดิ์ ทำให้ต้องเสียช้างเผือก 4 เชือก และพม่ายังนำตัวเจ้านายและแม่ทัพสำคัญ คือพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงครามกลับไปด้วย
เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิสวรรคต พระมหินทราธิราชซึ่งเป็นพระราชโอรสได้ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาแทน ซึ่งสัมพันธไมตรีระหว่างพระมหินทราธิราชกับพระมหาธรรมราชาก็ไม่ดีนัก ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศ พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพม่าก็ทราบระแคะระคายเรื่องนี้ดี จึงได้หาโอกาสที่จะทำให้กรุงศรีอยุธยาเกิดความแตกแยกกับเมืองพิษณุโลก โดยได้กระทำให้เห็นว่า พระองค์โปรดปรานพระมหาธรรมราชา และก็สามารถถูกใจพระมหาธรรมราชา จนมีจิตใจฝักใฝ่ในพระเจ้าบุเรงนองได้
พระเจ้าบุเรงนอง ได้ยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาเพื่อจะครอบครองกรุงศรีอยุธยาอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่งในปี 2111 โดยมีการระดมทัพของทั้งพระเจ้าแปร พระเจ้าตองอู พระเจ้าอังวะ พระเจ้าเชียงใหม่ เข้าร่วมขบวนทัพด้วย เมื่อทัพของพระองค์มาถึงเมืองพิษณุโลก จึงสามารถชักชวนให้พระมหาธรรมราชาเข้าร่วมทัพ เพื่อยกไปตีกรุงศรีอยุธยา ทัพของพระเจ้าบุเรงนองได้ล้อมกรุงศรีอยุธยา อยู่เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ จึงใช้กลอุบายให้พระยาจักรีซึ่งถูกกวาดต้อนไปเมื่อครั้งที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยา ที่เรียกกันว่าสงครามช้างเผือก ซึ่งพระองค์ได้ชุบเลี้ยงจนสวามิภักดิ์ต่อพม่าแล้ว ให้กลับมาเป็นไส้ศึก โดยสร้างข่าวว่าพระยาจักรีได้หนีออกจากพม่า โดยมีโซ่ตรวนผูกติดมาด้วย ทำให้ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาหลงกลนี้ และรับพระยาจักรีเข้ามาเพื่อช่วยในการรบของอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง การเป็นไส้ศึกในครั้งนี้ทำให้กองทัพของบุเรงนองเข้าตีกรุงศรีอยุธยาจนแตกได้ ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียอิสรภาพในปี 2112
กองทัพพม่าได้กวาดต้อนผู้คนชาวอยุธยา แม่ทัพนายกอง รวมทั้งพระมหินทราธิราชกลับไปยังกรุงหงสาวดี จนเหลือผู้คนอยู่ในกรุงศรีอยุธยาประมาณ 10,000 คนเท่านั้น ซึ่งพระมหินทราธิราชได้สวรรคตในระหว่างทาง ส่วนพระมหาธรรมราชานั้นพระเจ้าบุเรงนองได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองประเทศราชปกครองกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งให้ดูแลเมืองพิษณุโลกด้วย และพระองค์ยังได้ขอนำพระโอรสและพระธิดาของพระมหาธรรมราชา ซึ่งก็คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระนางสุพรรณกัลยา ไปยังกรุงหงสาวดีด้วย ซึ่งในที่สุดพระนางสุพรรณกัลยาก็ตกเป็นพระชายาของพระเจ้าบุเรงนอง
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชถูกนำตัวไปยังกรุงหงสาวดีนั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง9 พรรษา แต่ก็ได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าบุเรงนองอย่างดียิ่ง โดยให้พระกุโสดอ เป็นพระอาจารย์ผู้ดูแลอบรมสั่งสอนในทุกศาสตร์ โดยประทับอยู่ที่พม่าเป็นเวลา 8 ปี ก่อนที่จะเสด็จกลับมาสู่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งในที่สุดพระองค์ ก็ประกาศอิสรภาพที่เมืองแคลง และกู้ชาติไทยคืนมาได้เมื่อปีพุทธศักราช 2127
เรื่องราวในประวัติศาสตร์ น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีต่อชาวไทยทุกคนว่าจะต้องรักชาติบ้านเมือง ไม่คิดที่จะแตกแยกเป็นหมู่เรา ไม่คิดที่จะแย่งชิงอำนาจ หรือชักนำผู้ใด ให้เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ที่เรียกว่าชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิด ความแตกแยกสามัคคีในหมู่ประชาชนคนไทย อันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการคงอยู่ของชาติ อย่างอิสระและเสรี
จึงเป็นเรื่องที่นักการเมือง ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง จะต้องตระหนักในเรื่องนี้ และต้องสำนึกเสมอว่า “รักชาติยิ่งชีพ”
รวมทั้งเทิดทูนสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์โดยตลอดไป
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี