คืนก่อนที่รัฐสภาจะประชุมเลือกนายกฯ 19 ก.ค. 2566
ปรากฏว่า โลกออนไลน์มีการส่งต่อคลิปเสียง ที่แอบอ้างว่าเป็นเสียงของบุคคลใกล้ชิดสถาบัน
เนื้อหาโจมตีการใช้มาตรา 112 และกล่าวเชิงสนับสนุนนักการเมืองที่เสนอจะแก้ไข/ยกเลิกมาตรา 112 เพื่อให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
1. นักข่าวอาวุโสที่ใกล้ชิดแหล่งข่าวสายความมั่นคงให้ข้อมูลว่า เป็นคลิปเลียนเสียง ตัดต่อ เพื่อแอบอ้าง
เจ้าหน้าที่สืบค้นติดตามจนเจอตัวผู้ปล่อยคลิปนี้แล้ว
เป็นชายคน หญิงคน
2. พฤติกรรมเช่นนี้ ร้ายแรงมาก
เป็นการแอบอ้างให้คนเข้าใจผิด
ใครหลงเชื่อจะเข้าใจว่าบุคคลสำคัญแนะนำให้เลือกนักการเมืองฝ่ายปฏิปักษ์สถาบันเป็นนายกฯ
สร้างความสับสน เข้าใจผิด และเสียหาย
3. การกระทำเช่นนี้ รุนแรงไม่น้อยไปกว่า การที่พรรค ทษช.นำชื่อบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดสถาบัน มาใส่ชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคตนเอง
ครั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 3/2562 (คดียุบพรรค ทษช) ชี้ว่าการกระทำของพรรค ทษช. นำสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง มาฝักใฝ่ในทางการเมือง “...เป็นจุดเริ่มต้นของการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เข้าลักษณะของการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) อย่างชัดแจ้งแล้ว กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการตามมาตรา มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรค...”
4. ที่ผ่านมา มีแนวร่วมนักการเมืองผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ม็อบสามนิ้วบางคนพยายามอ้างว่า สถาบันเบื้องสูงห้ามมิให้ใช้มาตรา 112
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โพสต์เรื่องนี้ “ความจริงเรื่อง 112 ที่ควรรู้”
ระบุว่า
“ผมเห็นมีคนแชร์ ข้อความ “ทรงมีรับสั่งจากในหลวงมิให้ใช้ม.112กับประชาชนอีกต่อไป”
มีการแชร์จำนวนมากในคืนวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา
ผมไม่แน่ใจว่ามาจากแหล่งจริงหรือเท็จ แต่ขออธิบายความจริงที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้
เหตุการณ์ช่วงนั้น ในค่ำวันที่ 4 ธันวาคม 2548 คุณทักษิณเป็นนายกฯ
ประมาณเดือนเมษายน มีการทำบุญที่วัดพระแก้ว และมีการจัดที่นั่งที่ไม่บังควร จนมีประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ กันทั้งประเทศ
คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้วิจารณ์เรื่องนี้ผ่านรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จนรายการถูกปิด
มีสส.ไทยรักไทย 2 คน มีนายตำรวจ ไปฟ้องดำเนินคดีม.112 คุณสนธิ
จนมีพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ตามลิงก์ https://youtu.be/6Gm1H88Trsg
วันที่ 7 ธันวาคม 2548 มีการถอนคดีความม.112 ที่ฟ้องคุณสนธิทุกคดี
ดังนั้น เหตุการณ์เมื่อปี 2548 มีการดำเนินคดีม.112 เพื่อกลั่นแกล้งกันจริง
แต่ปัจจุบันเป็นด่าคำหยาบ มีความพยายามจาบจ้วงของพวกล้มล้างฯ
บริบทนั้น ต่างกันมาก จึงเอามาเทียบกันไม่ได้
5. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ตั้งข้อสังเกตน่าสนใจว่า
“พวกเขาชอบอ้าง “เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศ”
ภารกิจของเขาคือม.112 ทั้งๆ ที่มีถึง 300 นโยบาย แต่ไม่สนเรื่องอื่น
นักวิชาการยืนยันชัดว่า คำว่าแก้ 112 ไม่ต่างจากยกเลิก เพราะลดสถานะ การคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ให้เป็นแค่ประชาชนธรรมดา
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ การปั่นกระแสโซเชียล ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ รวมทั้ง NGO ที่รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ก็มีส่วนรณรงค์ สนับสนุนพวกเขาเต็มที่
ดูแค่นี้ก็พอเดาได้ว่า นี่คือภารกิจที่สมคบกับต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนประเทศ
เปลี่ยนเพื่อใคร?
เพื่อประชาชนไทย หรือเพื่อต่างชาติ?
สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ ประชาธิปไตยที่คณะราษฎร วางรากฐานให้คนไทย มันถูกหรือไม่
ทำไมมันจึงเกิดแต่ความขัดแย้ง การทุจริตคอร์รัปชั่น และการรัฐประหาร
คนจนก็ยังจน แต่คนรวยรวยมากขึ้น
ได้เวลาเปลี่ยนประเทศเช่นกัน แต่ประชาธิปไตยที่นำมาใช้ ต้องปรับให้สอดคล้องกับ วิถีของสังคมไทย
ไม่ใช่ตอบสนองต่างชาติ
ถ้าเปลี่ยนตามที่เขาและต่างชาติต้องการ สังคมไทยจะหนักกว่าเดิม...”
6. ในส่วนความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ
ท่าทีล่าสุดของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวได้ว่า ทุเรศมาก
คุณนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้ชี้แจงตอบโต้
พอหอมปากหอมคอ ระบุว่า
“เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
คุณแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแถลงข่าว แสดงความกังวลใจต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยหลังการเลือกตั้ง ที่หัวหน้าพรรค การเมืองถือหุ้นสื่อและมาตรา 112
อ่านคำแถลงข่าวของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วไม่สบายใจ
ท่านอาจได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเข้าใจอะไรผิด ขอชี้แจงให้ท่านเข้าใจการเมืองและกฎหมายไทย เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศทั้งสอง
รัฐธรรมนูญของไทยห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนถือหุ้นสื่อ นักการเมืองทุกคนรู้ข้อห้ามนี้ดี
และคุณพิธาไม่ใช่นักการเมืองคนแรกที่ถูกตรวจสอบการถือหุ้นสื่อ
ก่อนหน้านี้ ก็มีผู้สมัครรับเลือกตั้งถูกลงโทษเพราะถือหุ้นสื่อ ไม่มีข้อยกเว้น
นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ถูกยกฐานะให้อยู่เหนือการเมือง และได้รับการปกป้องไม่ให้ถูกล่วงละเมิดตามมาตรา 112
เหมือนประธานาธิบดีสหรัฐที่มีกฎหมายปกป้องการล่วงละเมิด
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาจไม่เข้าใจระบบการเมืองไทย
นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีทางตรงที่คนได้คะแนนสูงสุดได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ
เหมือนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่เป็นการเลือกทางอ้อมผ่าน electoral voters แม้บางครั้งผู้แพ้จะได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนสูงกว่า
แต่มั่นใจได้ว่า ระบบการเลือกตั้งของไทย เป็นการเลือกตั้งที่ Free and Fair เพราะจัดการเลือกตั้งโดย กกต.ที่เป็นองค์กรอิสระ
นอกจากนี้ คดีที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐห่วงใย ยังไม่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาล และขอให้มั่นใจได้ว่า ศาลไทยจะอำนวยความยุติธรรมและปราศจากการแทรกแซงใดๆ
ประการสำคัญ การเลือกตั้งในไทยไม่มีเหตุร้ายหรือความรุนแรงเกิดขึ้น
ไม่มีเหตุไฟฟ้าดับในระหว่างการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งเหมือนการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของบางประเทศ
ขอบคุณโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่สนใจและห่วงใยต่อการเมืองในไทย
และคนไทยก็หวังว่า จะไม่มีรัฐต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเมืองในไทย เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
7. สหรัฐ จงหยุดแทรกแซงประเทศไทย
เมื่อวานนี้ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. เข้ายื่นหนังสือถึง นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ให้หยุดเข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจการและการเมืองภายในไทย โดยมีตัวแทนฝ่ายทางการเมืองออกมารับเรื่อง
“อยากออกมาย้ำเตือนให้ทางสหรัฐอเมริกาหยุดการกระทำดังกล่าว
ประเทศไทยเอง ก็มีขั้นตอนมีกฎหมาย และมีระบบประชาธิปไตย โดยที่ไม่หวังให้ประเทศอื่นเข้ามาช่วยเหลือหรือยุ่งเกี่ยว” – นายอานนท์กล่าว
สุดท้าย... จากรูปการณ์ที่กำลังเป็นอยู่
ขอเตือนว่า ถ้าสหรัฐแสดงท่าทีแทรกแซงการเมืองไทยมากกว่านี้ จะถูกประชาชนคนไทยขับไล่อย่างแน่นอน
จงหยุด “เผือก” การเมืองของประเทศไทย!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี