อาณาจักรที่ ๒ ของชาติไทยคืออาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีหรือเมืองหลวง เป็นอาณาจักรที่ยืนยาวถึง ๔๑๗ ปี มีพระมหากษัตริย์ ครองราชย์ในช่วงดังกล่าวรวม ๓๓ พระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีการช่วงชิงบัลลังก์เกิดขึ้นบ้างในบางช่วง แต่ก็พบว่าพระมหากษัตริย์เกือบจะทุกพระองค์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๓-๔ ราชวงศ์ อาทิราชวงศ์เชียงราย ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์บ้านพลูหลวงและอื่นๆ จึงถือว่า การขึ้นครองราชย์โดยการสืบราชสันตติวงศ์นั้น เป็นเสมือนกติกาสำคัญมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาล
ในปีพุทธศักราช ๒๐๗๗ เป็นปีที่สมเด็จพระไชยราชาธิราชขึ้นครองราชย์ โดยพระองค์ทรงครองราชย์อยู่ ๑๓ ปีก่อนที่จะสวรรคตในปี ๒๐๘๙ หลังจากนั้นได้ เกิดเหตุวุ่นวายในบ้านเมือง ในลักษณะของการชิงอำนาจ เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระราชโอรสที่เสด็จพระราชสมภพด้วยมเหสี มีแต่พระเจ้าลูกยาเธอที่ประสูติจากพระสนมเอกอันดับที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นท้าวศรีสุดาจันทร์
หลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์สูงสุดที่น่าจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อคือพระอนุชาต่างพระมารดา ที่มีพระนามว่าพระเฑียรราชา ได้มองเห็นว่าภัยอันตรายกำลังจะเกิดขึ้น จึงทรงออกอุปสมบท เป็นพระภิกษุ อยู่ภายใต้พระพุทธศาสนาและผ้ากาสาวพัสตร์
เมื่อเป็นดังนั้น ฝ่ายสมณพราหมณาจารย์มุขมนตรี นักปราชญ์ราชบัณฑิต และโหราราชครู จึงได้ประชุมสโมสรและเห็นพ้องกันว่า ควรอัญเชิญพระยอดฟ้า ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์แรกอันเกิดจากท้าวศรีสุดาจันทร์ ที่มีพระชันษาเพียง ๑๑ พรรษาขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป โดยมีท้าวศรีสุดาจันทร์ช่วยประคับประคองทำนุบำรุงปกครองราชการแผ่นดิน
เรื่องราวในตอนนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยได้กล่าวว่า เป็นส่วนของประวัติศาสตร์ด้านที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ด้วยหลังจากนั้นไม่นานท้าวศรีสุดาจันทร์ได้มีโอกาสพบกับพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ เกิดมีความเสน่หารักใคร่ และให้พันบุตรศรีเทพเข้ามาอยู่ในบริเวณพระราชวัง แต่งตั้งให้เป็นขุนชินราชเพื่อดูแลรักษาหอพระข้างใน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดจนกระทั่งตั้งครรภ์ และยังเลื่อนขุนชินราชขึ้นเป็นขุนวรวงศาธิราชเป็นผู้ดูแลรักษาพระราชวังทั้งหมด มีกำลังทหารอยู่ภายใต้การดูแลด้วย
ท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่สามารถจะปิดบังเรื่องการตั้งครรภ์กับขุนวรวงศาธิราชได้อีกต่อไป จึงได้คบคิดที่จะให้ขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยได้วางแผนร่วมกันสำเร็จโทษพระยอดฟ้า ซึ่งนับเป็นความชั่วร้ายสุดประมาณของผู้ที่เป็นมารดา ทั้งนี้เพื่อให้ชายชู้ที่ไม่มีคุณสมบัติอย่างไรเลยได้ขึ้นครองราชย์ จึงเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งในส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย
ถึงอย่างไร นักประวัติศาสตร์ก็เห็นว่าขุนวรวงศาธิราชมิใช่พระเจ้าแผ่นดิน เพราะไม่ได้รับการยอมรับ จากอาณาประชาราษฎร์ ขุนนางผู้ใหญ่ สมณพราหมณาจารย์มุขมนตรี โหราราชครู และไม่มีพิธีราชาภิเษกแต่อย่างใดด้วย จึงเป็นที่มาของการกำจัดขุนวรวงศาธิราชออกไป
ข้าราชบริพารและทหารชั้นผู้ใหญ่ในขณะนั้น มีเชื้อพระวงศ์อยู่ท่านหนึ่งคือขุนพิเรนทรเทพ จึงได้ร่วมกับขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ ประชุมปรึกษาหารือกัน และเห็นว่าควรจะไปกราบทูลพระเฑียรราชา ซึ่งขณะนั้นบวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐานให้ทรงทราบถึงภัยอันตรายต่อแผ่นดิน และทูลเชิญให้พระเฑียรราชาลาผนวช กลับมาขึ้นครองราชสมบัติ ซึ่งพระองค์ท่านทรงเห็นด้วย
การที่คิดขึ้นนี้เป็นงานใหญ่หลวงนัก ขุนพิเรนทรเทพและคณะ จึงไปอธิษฐานเสี่ยงเทียนต่อพระพักตร์พระปฏิมากรเจ้า โดยเอาพระพุทธคุณเป็นที่ตั้ง เพื่อจะให้แจ้งประจักษ์ว่าพระเฑียรราชา ประกอบด้วย บุญญาบารมีที่จะปกป้องอาณาประชาราษฎร์ได้หรือไม่ ซึ่งผลของการเสี่ยงเทียนได้แสดงให้เห็นว่าพระเฑียรราชามีบุญญาบารมีเหนือกว่าขุนวรวงศาธิราช อันจะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นที่น่ายินดียิ่งนัก
การวางแผนเพื่อกำจัดขุนวรวงศาธิราชจึงเกิดขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากหมื่นราชเสน่หานอกราชการและในราชการ รวมทั้งพระยาพิชัย พระยาสวรรคโลกด้วย การกระทำการครั้งนี้ได้เริ่มจากการกำจัดพระมหาอุปราชซึ่งเป็นน้องชายของขุนวรวงศาธิราชก่อนในค่ำคืนวันหนึ่ง โดยแอบยิงด้วยปืนไฟขณะที่ พระมหาอุปราชขี่ช้างไปที่เพนียดเพื่อจะดูการจับช้าง
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ขุนวรวงศาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์และราชบุตรซึ่งเกิดด้วยกัน รวมทั้งพระศรีศิลป์ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระยอดฟ้าลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันมาตามคลองสระบัว โดยมีขุนอินทรเทพติดตามมาด้วย ขุนพิเรนทรเทพ พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก หลวงศรียศ หมื่นราชเสน่หาในราชการก็พายเรือออกสกัด และขุนอินทรเทพก็พายเรือขนาบเรือพระที่นั่ง แล้วช่วยกันจับขุนวรวงศาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์และพระโอรส ฆ่าเสียทั้งหมด แล้วเอาศพไปเสียบประจานที่วัดแร้ง โดยเว้นไม่ทำร้ายพระศรีศิลป์ รวมเวลาที่ขุนวรวงศาธิราชปกครองแผ่นดินอยู่ ๔๒ วัน
หลังทำการสำเร็จ ขุนพิเรนทรเทพก็ทูลเชิญพระเฑียรราชาเข้าสู่พระราชวัง และปราบดาภิเษกตามราชประเพณี ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาสืบไป ทรงมีพระนามว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ราชาธิราชเจ้า ส่วนขุนพิเรนทรเทพนั้น ภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ครองเมืองพิษณุโลก
การขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล โดยจะเป็นการสืบราชสันตติวงศ์จากราชวงศ์ทั้งสิ้น และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนการขึ้นเป็นผู้นำของประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นไปตาม กฎระเบียบและรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้น ซึ่งรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก็จะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันอยู่บ้าง โดยฉบับปัจจุบันคือฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นฉบับที่ได้ผ่านการลงประชามติและได้รับความเห็นชอบจากประชาชนมากกว่า ๑๕ ล้านเสียง โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บัญญัติให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องมาด้วยความถูกต้อง เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมจริยธรรมอันเหมาะสม ไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม อาทิ เป็นบุคคลล้มละลาย การถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ต้องเชิดชูชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่มีแนวคิดหรือนโยบายในการแบ่งแยกประเทศ รวมทั้งกระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้หรือยกเลิกกฎหมายที่จะเป็นการลดพระราชอำนาจหรือการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอันขาด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี