การเมืองของไทยไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนา ไม่เจริญ ไม่สร้างสรรค์ เพราะมูลเหตุสำคัญประการหนึ่งคือบ้านเมืองของเรามีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยอยู่ในข่ายด้อยพัฒนา คือด้อยพัฒนาทั้งด้านสติปัญญา และด้านศีลธรรมจรรยา แต่ทั้งๆ ที่ด้อยสารพัดด้อย แต่ก็กลับทุรนทุรายกระเสือกกระสนจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี เหตุที่คนด้อยดังกล่าวพยายามจะมีตำแหน่งในฝ่ายบริหารให้จงได้ ก็เพราะเข้าใจว่าคนที่ได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถพิเศษแต่ประการใด หรือพูดง่ายๆ คือ เขามองว่าใครๆ ก็เป็นได้
นักการเมืองของไทยจำนวนมิใช่น้อยเข้าสู่สนามการเมืองด้วยความคาดหวังว่าจะเข้ามากอบโกย โกงกิน และแสวงหาอำนาจรัฐ เพื่อใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือในการแสวงหาลาภมิควรได้ ดังนั้น นักการเมืองจำพวกดังกล่าวจึงไม่เคยคิดสร้างสรรค์สิ่งดีงามใดๆ เพื่อสาธารณะ แต่ก็ยังคงพล่ามเพ้อว่าพวกตนเองอุทิศตัวเพื่อสาธารณะ
คนไทยเคยมองนักการเมืองรุ่นเก่าด้วยสายตาที่ปราศจากความชื่นชม ศรัทธา และปราศจากความหวังใดๆ เพราะได้ประจักษ์มาแล้วว่า นักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมการเมืองเลวทราม แต่ครั้นเมื่อมาได้พบเจอพฤติกรรมนักการเมืองรุ่นใหม่จำพวกไม่น้อย กลับพบว่าเลวทรามและต่ำสถุลยิ่งกว่านักการเมืองรุ่นเก่าหลายเท่านัก
นักการเมืองไทยจำนวนมากเล่นการเมือง เพราะว่าต้องการเอาชนะกันทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายของสาธารณะ ดังนั้น เมื่อเมืองไทยมีนักการเมือง
จำนวนมากเป็นไร้คนคุณภาพ ก็จึงส่งผลให้การเมืองของไทยไร้ความน่าเชื่อถือ ไร้เกียรติ และไร้ผู้ศรัทธาเชื่อมั่น
นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 เราได้พบว่านักการเมืองไทยบางรายแสดงพฤติกรรมน่าสมเพชมาก อาทิ ยังไม่ผ่านการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา แต่นักการเมืองบางรายก็ทุรนทุรายแสดงตัวเป็นนายกรัฐมนตรีตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเท่ากับแสดงออกถึงความไม่เหมาะไม่ควร
อันที่จริง การประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้นต้องผ่านกระบวนการในรัฐสภาเสร็จสิ้นสมบูรณ์เสียก่อนแล้วต้องได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสียก่อน แต่นี่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ เลยยกเว้นแค่เพียงชนะการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นการได้รับชัยชนะที่ยังไม่ได้รับการรับรองใดๆ จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แต่สาธารณชนก็ได้ประจักษ์ว่ามีคนบางคนกระเสือกกระสนพาตัวไปยังสถานที่ต่างๆ แล้วประกาศอุปโลกน์ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างน่าสมเพช
การชนะการเลือกตั้ง โดยได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นเพียงการประกาศว่าตนเองได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งจะต้องได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสมอไป ยิ่งในกรณีที่ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ได้ครองเสียงข้างมากโดยได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมด ก็ยิ่งไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะอย่าลืมว่าการจัดตั้งรัฐบาลของไทยนั้น ส่วนมากเป็นรัฐบาลผสม ดังนั้นจึงไม่มีการปิดกั้นโอกาสที่พรรคอื่นๆ จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่งได้ ยิ่งในกรณีที่ชนะการเลือกตั้งเพียงร้อยสี่สิบ หรือร้อยห้าสิบเสียง จาก สส. ทั้งสภาที่มีจำนวน 500 ที่นั่ง ยิ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่งจะได้เป็นรัฐบาล หรือจะได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีคนที่อ่อนต่อการเมือง และอ่อนต่อโลกยังคงละเมอเพ้อหลงว่าตนเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ได้เสียงจากการเลือกตั้งแค่ประมาณ 150 เสียงเท่านั้น
อันที่จริง คนที่อยู่ในแวดวงการเมืองไทยจำเป็นต้องมีทั้งสติ ปัญญา และต้องมีความรู้เท่าทันเกมการเมืองอย่างรอบด้าน ต้องรู้ว่าการเมืองแบบไทยนั้น เป็นการเมืองที่สามารถจะเกิดอะไรก็ได้ แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่านักการเมืองไทยนั้นไม่ได้ยึดมั่นในหลักการของผลประโยชน์สาธารณะแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นักการเมืองส่วนมากเน้นแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ส่วนข้ออ้างเรื่องผลประโยชน์สาธารณะก็เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อที่หาสาระมิได้
เราได้เห็นคนจำนวนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมีปัญหาในการทำงานการเมือง เพราะว่าไม่เข้าใจว่าการเมืองคืออะไร แต่ที่สำคัญคือไม่รู้หลักการบริการบ้านเมือง คนพรรค์อย่างว่านั้นคือแค่เพียงว่าทำอะไรก็ได้เพื่อให้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้น จึงปั่นกระแสทุกอย่างผ่านระบบ social media เพื่อล่อลวงให้คนที่คิดไม่ทัน หรือรู้ไม่ทันแห่กันไปลงคะแนนแนนเลือกตั้งให้คนบางคนชนะการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ไม่รู้ปัญหาของพื้นที่ ไม่รู้จักประชาชนในพื้นที่ และไม่เคยสัมผัสประชาชนในพื้นที่ แต่เมื่อได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งแล้วก็กลับขึ้นรถแห่ไปขอบคุณประชาชน ทั้งๆ ที่ก่อนเลือกตั้งไม่เคยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะไปพบปะกับประชาชน แต่เหตุผลที่ชนะการเลือกตั้งก็เพราะอาศัยการปั่นกระแสผ่าน social media ด้วยคำสัญญาที่หาความจริงมิได้ อาทิ ล้มล้างมาตรา 112 การสัญญาว่าจะให้เงินต่างๆเช่น เบี้ยคนชรา ค่าแรงขั้นต่ำ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร รวมถึงบางรายยังแสดงความอ่อนด้อยทางปัญญาให้ปรากฏด้วยการประกาศเปิดธนาคารให้มากขึ้น เพื่อให้ดอกเบี้ยเงินกู้มีอัตราต่ำลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการประจานตัวเองว่าเข้าขั้นไร้สติ สิ้นปัญญา เพราะเพ้อพล่ามราวกับคนเสียจริต
และแล้วคนที่มีอาการราวกับคนเสียสติก็ไม่สามารถได้รับตำแหน่งผู้นำของฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติได้ เหตุที่ไม่ได้ตำแหน่งก็เพราะเขาเหล่านั้นสะดุดขาตัวเองจนหัวฟาดพื้นอย่างแรง แต่คนจำพวกนี้ก็ไม่สำเหนียกว่าการที่ตนเองพลาดพลั้งนั้น เป็นเพราะตัวเองทำตัวเองทั้งสิ้น แต่กลับโทษคนอื่นๆ ว่าทรยศหักหลังตนเอง แล้วชี้หน้าด่าคนอื่นว่าเป็นเผด็จการ นี่คืออาการล่าสุดของคนเสียจริตที่พลาดทุกสิ่งที่หวังไว้ เพราะความไร้ปัญญาของเขาเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี