วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การเมืองไทยในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เป็นการขับเคี่ยวต่อกรระหว่างฝ่ายหรือกลุ่มการเมือง ทั้งในรูปแบบของพรรคการเมือง และขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การเมืองไทยมีการแบ่งเป็น“สีการเมือง” (Colours politics) เช่น ฝ่ายเหลือง, แดง, ฟ้า, หลากสี หรือไม่ก็มีการแสดงความเป็นตัวตน โดยหลังๆ ฝ่ายแต่ละสีก็ควบรวมเปลี่ยนมาแสดงตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย (หัวก้าวหน้า) ที่ต่อต้านลัทธิทหารการเมือง กับ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม (อำนาจนิยม) ซึ่งอิงแนวความคิดว่า ฝ่ายกองทัพเป็นสถาบันคู่บ้านคู่เมือง จึงสามารถมีบทบาททางการเมืองได้ ซึ่งกลายเป็นคู่ขับเคี่ยวกันในการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ที่ผ่านมา
แต่ในระหว่างการฟอร์มรัฐบาล บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ กลับประกาศต่อสาธารณชนว่า สนามการเมืองไทยในวันนี้จะต้องสลายขั้ว ไม่ควรจะต้องมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือมีขั้วการเมืองอีกต่อไปแล้ว เพื่อประเทศชาติจะได้มีเสถียรภาพ และมีเวลา และมีพลังจิตพลังกายที่จะได้นำไปพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ซึ่งฟังแล้ว ก็เป็นวาทะที่ดูสวยงาม สร้างความหวังให้กับสังคม และประชาชนพลเมือง แต่อะไรที่เป็นเหตุผลอันแท้จริงของการมุ่งประสงค์ที่จะสลายขั้วการเมืองและอุดมการณ์ต่างๆ กันแน่?
คำตอบก็คือ ที่ต่างวางความไม่ลงรอยลงชั่วคราว แล้วหันมาร่วมมือกันในวันนี้ เพื่อเพียงที่จะปลดล็อกกติกาทางการเมือง จะได้สามารถเข้าถึงซึ่งอำนาจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ ของพรรคพวกตนเองเป็นสำคัญ ส่วนในเรื่องประเทศชาติบ้านเมือง และการรับใช้ประชาชนพลเมืองเพื่อความผาสุกของพลเมืองนั้น เป็นเพียงข้ออ้าง
ในการสลายขั้วดังกล่าว จึงเป็นเรื่องของการหันมารวมตัวกันของกลุ่มอำนาจนิยม ที่มักใหญ่ใฝ่สูงในเรื่องอำนาจ และการใช้อำนาจ เพื่อต่ออายุ และเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ โดยมิได้คำนึงถึงเสียงของประชาชน (อย่างน้อยก็ประมาณ 27 ล้านเสียง ที่ได้ไปใช้สิทธิ์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้) ที่มุ่งประสงค์ที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงสังคมบ้านเมืองให้มีความเสมอภาค ทัดเทียม มีความผาสุก และมีความปลอดภัย และมีความสงบเรียบร้อยในกรอบประชาธิปไตย
ซึ่งก็เท่ากับว่า บรรดาผู้ประสงค์ที่จะสลายขั้วเหล่านี้คิดถึงแค่ตัวเองแบบมุ่งประสงค์ที่จะทอดทิ้งและลืมเลือนเสียงอันประกาศิตของประชาชนพลเมือง แถมยังร่วมกันทำลายโอกาสที่บ้านเมืองจะปลอดภัย มีความสงบเรียบร้อย และรุดหน้าต่อไปอย่างสง่างาม ด้วยความหวังในสิ่งที่ดีงามอย่างเต็มเปี่ยม
กลุ่มขั้วสลายเหล่านี้คงคิดว่าตนจะสามารถบรรลุในการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และผลประโยชน์ต่างๆ ที่จะตามมา จึงพร้อมที่จะท้าทายกับ
ประชาชนพลเมืองอย่างไม่สะทกสะท้านไม่หวั่นเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ และยังพร้อมที่จะทอดทิ้งฐานเสียงของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดๆเพียงเพื่อที่จะถีบพรรคก้าวไกลให้โดดเดี่ยว เพื่อไปเผชิญกับชะตากรรมของตนเอง กับการเป็นฝ่ายค้านที่นักการเมืองว่ากันว่า เป็นแล้วอดอยากปากแห้ง
สังคมไทย ณ วันนี้ จึงกำลังได้เห็นกันว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งขันกันมาอย่างโชกโชนกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีแนวโน้มที่จะร่วมหอลงโรงกัน นอกจากนั้น ก็ลืมความเจ็บปวดจากการถูกยุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน หันมาสมานมิตรไมตรีกับพรรคที่ฝ่ายทหารหนุนหลัง โดยไม่ต้องไปสนใจวาทะที่ใช้ในการหาเสียงที่ว่า “มีลุง (นายพล)ไม่มีเรา” อีกทั้งการกล่าวอ้างว่าตนคือฝ่ายประชาธิปไตย กับการตีตราฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรืออำนาจนิยม ก็ถูกทำให้จืดจางสูญหายไปในวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่า บรรดากลุ่มที่อ้างการสลายขั้วนั้นต่างพร้อมที่จะทิ้งฐานเสียง และขบวนการสนับสนุนสีต่างๆ ของตนเอง เพื่อไปตายเอาดาบหน้า โดยขอเพียง ณ วันนี้ ได้มาซึ่งอำนาจรัฐไว้ในมือเสียก่อน
ส่วนบรรดาฐานเสียง และผู้สนับสนุนต่างๆ ของบรรดาพรรคการเมืองแห่งการสลายขั้ว จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ก็เริ่มปรากฏแล้วว่า ประชาชนจะมีการแสดงออกซึ่งการคัดค้าน การประท้วงต่างๆ และสังคมไทยก็คงจะไม่แปลกใจถ้าการคัดค้าน การประท้วงนั้น จะก้าวเลยจากสันติวิธี ไปสู่การใช้ความรุนแรงเป็นสำคัญ เพราะความเจ็บปวด และความโกรธแค้นคงจะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากเสียหน้าที่ถูกทอดทิ้ง และที่สำคัญมีความรู้สึกว่า ถูกหลอกลวง และถูกปฏิเสธการเคารพเชื่อถือแต่อย่างใด
สังคมการเมืองไทยจากนี้ไปจึงอาจจะประเมินประมาณได้ว่า มิใช่เรื่องการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง หรือการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มสีการเมืองต่างๆ อีกแล้วแต่จะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มอำมาตย์ทางการเมือง หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน กับมวลชนที่ได้แสดงความประสงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง ซึ่งก็ได้รับมอบหมายให้พรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรคใหญ่ ให้ไปดำเนินการ แต่ปรากฏว่า 2 พรรคการเมืองที่เป็นความหวังของประชาชนพลเมืองไม่สามารถรักษาแนวร่วมได้ เพราะมีพรรคหนึ่งมีความทะเยอทะยานมากกว่า และตัดสินใจที่จะไปร่วมหัวลงโรง กับฝ่ายขั้วอนุรักษ์นิยม ที่เคยขับเคี่ยวกันมาจนถึงขึ้นปฏิวัติรัฐประหารถึง 2 ครั้ง 2 ครา ซึ่งก็เป็นการช่วยต่อชีวิตการเมืองให้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแลกกับการเดินทางกลับมาสู่ถิ่นฐานของ “เจ้าของ” พรรคการเมืองนี้
ชีวิตที่สูญเสียไป ร่างกายที่บาดเจ็บ และการต้องเผชิญกับคุกตะรางของผู้สนับสนุน จึงถูกแลกเปลี่ยนกับการมีอำนาจรัฐ และการรับใช้ตอบสนองความต้องการของ “เจ้าของพรรคได้” แล้วจะให้บรรดาฐานเสียงและผู้สนับสนุนนิ่งเฉย ไร้ความรู้สึกหรือ
ก็ยังไม่เป็นเรื่องที่จะสายเกินไปที่บรรดาผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ จะได้มีสติทบทวนเรื่องราว และกลับมาอยู่กับฐานเสียงของตน ไม่หลงระเริงไปกับอารมณ์แห่งอำนาจ และการทำตนเยี่ยงทาสของผู้ที่ทำตนเป็นเจ้านายเหนือหัว นี่เป็นกรณีของพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็หวังว่ายังมีสติพอเพียงที่จะไม่เห็นแก่ได้ซึ่งอำนาจวาสนาเฉพาะหน้า และไปจับมือกับคู่อริทางการเมือง ที่เคยคิดว่าเป็นฝ่ายทำลายประชาธิปไตยและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของบ้านเมือง โดยหันกลับสู่ฐานเสียงและอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาล
ส่วนบรรดาพรรคนายพล และบรรดาพรรค “ผสมเสร็จ” ทั้งหลาย ก็คงจะคิดได้บ้างว่า วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ สังคมไทยส่วนใหญ่ได้แสดงออกแน่ชัดแล้วว่า “ไม่เอาด้วย” และมีความชิงชังในความล้าสมัย และดื้อดึงต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็คงเป็นเรื่องยากลำบากที่จะกลับเนื้อกลับใจ ก็ต้องพร้อมที่จะต้องเผชิญกับการต่อต้าน และการลุกฮือของประชาชน และในการนี้ก็อย่ามาแอบอ้างว่า ความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมืองมาจากประชาชนพลเมือง หรือประชาชนพลเมืองเป็นต้นเหตุ เรื่องทั้งหมดเป็นภาระรับผิดชอบของพวกสลายขั้วการเมืองดังกล่าวเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

‘ผบก.ตม.4’ลงพื้นที่‘ด่านช่องเม็ก’ สกัด‘รถน้ำมัน’ทะลักออกด่าน ตามคำสั่ง‘มทภ.2’
ในหลวง-พระราชินี ทรงรับผู้บาดเจ็บ-ผู้เสียชีวิต จากเหตุชายแดน ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
มาลี แถลงโต้ ยันเขมรไม่ได้กักตัวคนไทย โอดถูกเครื่องบิน F-16 ระดมทิ้งระเบิด
สรุปเหรียญ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ไทยยังคงนำเป็นจ้าวเหรียญทอง
โคราชจับตา! เฝ้าระวัง'ทหารรับจ้างรัสเซีย'ลอบเข้าพื้นที่ เอี่ยวแผนก่อเหตุจุดยุทธศาสตร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี