วันจันทร์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ที่น่าอับอายมากคือผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของข้าวไทยต่ำกว่าประเทศด้อยพัฒนา ต่ำกว่าเนปาล ต่ำกว่าปากีสถาน ต่ำกว่าเวียดนามไม่น่าแปลกใจ ต่ำกว่าเขมร ต่ำกว่าบังกลาเทศ ผมยกตัวอย่างประเทศพวกนี้ดีกว่า แล้วเขามีแนวโน้มสูงขึ้น เรามีแนวโน้มเท่าเดิม แต่ที่สำคัญก็คือชาวนาในเขตชลประทานเวลานี้หันไปใช้พันธุ์ข้าวเวียดนาม เพราะผลผลิตต่อไร่สูงกว่าพันธุ์ข้าวไทยและอายุสั้น”
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “อนาคตและนโยบายสำหรับภาคเกษตรไทยในอนาคต” ในงานประชุมเสวนาวิชาการภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถึงสถานการณ์ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยต่ำกว่าหลายประเทศในทวีปเอเชีย อีกทั้งชาวนายังหันไปใช้พันธุ์ข้าวจากต่างประเทศเพราะพันธุ์ข้าวไทยก็ไม่ตอบโจทย์
“อะไรทำให้ประเทศไทยเดินมาสู่ปัญหา ณ จุดนี้?”อาจารย์นิพนธ์ ชี้สาเหตุหลายประการ ไล่ตั้งแต่ 1.งบวิจัยข้าวลดลง ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบถูกลดงบส่วนนี้จาก 300 ล้านบาท เหลือเพียง 120 ล้านบาท2.มีศูนย์วิจัยข้าวมากเกินความจำเป็น ปัจจุบันมีถึง 28 ศูนย์ ทั้งที่ไทยไม่ใช่ประเทศที่กว้างใหญ่ขนาดที่ทำให้สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างมาก
3.การให้ทุนวิจัยเพียงสาขาเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่มูลนิธิ Rockefeller เข้ามาสนับสนุนการวิจัยข้าวโพดพันธุ์สุวรรณ มีการสนับสนุนทีมวิจัยหลายด้าน เช่น การปรับปรุงสายพันธุ์ โรคพืช ดิน และมีแม้กระทั่งทีมวิจัยในเชิงเศรษฐศาสตร์ 4.เชื้อพันธุกรรม (Germplasm) ของไทยแคบ เนื่องจากระเบียบการนำเข้าเมล็ดพันธุ์เข้มงวดเกินไปจนไม่มีนักวิจัยของอนุญาตนำเข้ามาเพื่อทำวิจัย อีกทั้งยังห้ามส่งออก 5.งานวิจัยและรับรองพันธุ์ข้าวอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน
6.ขาดแคลนนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูง รวมถึงขาดทีมวิจัยสาขาอื่นร่วมงานซึ่งเกิดขึ้นกับทั้งในศูนย์ของหน่วยงานรัฐและของมหาวิทยาลัย 7.การผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีไม่เพียงพอ มีความต้องการสูงถึงปีละ 1 ล้านตัน แต่หน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตอยู่ปัจจุบันผลิตได้เพียง 9 หมื่นตัน และ 8.การให้ใบรับรองข้าวหอมมะลิส่งออกเพียง 2 พันธุ์ (กข.15 และหอมมะลิ 105) ด้วยความคิดว่า 2 พันธุ์นี้ดีที่สุด ในขณะที่ข้าวชนิดอื่น เช่น Basmati และ Koshihikari ที่มีหลายพันธุ์ เมื่อไปผสมกับข้าวพันธุ์อื่นๆ อาจตอบโจทย์ผู้บริโภคก็ได้
ส่วน “ทางออก” นั้น ประกอบด้วย 1.เพิ่มการลงทุนวิจัยขนานใหญ่และให้ทุนการศึกษาด้านปรับปรุงพันธุ์ รวมถึงลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลเกษตร พร้อมอุปกรณ์-เครื่องมือวิจัยสมัยใหม่ ในอดีตไทยเคยลงทุนวิจัยด้านการเกษตรถึงร้อยละ 25 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในภาคเกษตร แต่ปัจจุบันเหลือเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น 2.ปรับโครงสร้างองค์กรวิจัย 2 ด้านคือ 2.1 ยุบรวมศูนย์วิจัยให้มีจำนวนที่เหมาะสม 2.2 เปลี่ยนฐานะกองวิจัยข้าวให้เป็นองค์กรอิสระ โดยย้ายกลุ่มวิจัยและพัฒนาของกรมวิชาการมารวมกัน
3.ปรับปรุงกฎระเบียบให้คล่องตัว (Streamlining Regulations) คือ 3.1 ปรับลดกฎระเบียบการนำเข้าพันธุ์ เพื่อขยายฐานพันธุกรรม (Germplasm) และอนุญาตการส่งออกพันธุ์ กับ 3.2 ปรับปรุงระเบียบการรับรองพันธุ์ และแยกหน่วยงานวิจัยออกจากหน่วยงานรับรองพันธุ์ 4.ให้มหาวิทยาลัย/ศูนย์วิจัยใช้พื้นที่สถานีวิจัยของกรมการข้าว/กรมวิชาการในการทดลอง โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตราอุดหนุน
“เป้าหมายและกระบวนการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ข้าว 2 เป้าหมายใหญ่ 1.ตอบโจทย์ชาวนาและผู้บริโภค(Demand-Driven Research) เราพูดกันตลอดเวลา 2.เปลี่ยนโครงสร้างที่มันยากกว่านั้น คือต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบเกษตรอาหารให้ตอบโจทย์ HERS (Health-สุขภาพ , Equity-เป็นธรรม , Resilience-ยืดหยุ่น, Sustainable-ยั่งยืน) จึงต้องมีกระบวนการปฏิรูป ตั้งโจทย์แบบมีส่วนร่วมจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงใช้วิธีการอนาคตศึกษา (Strategic Foresight) ในการตั้งโจทย์ ไม่ใช่ประชุมในห้องใหญ่แล้วก็ถามความเห็นแล้วก็ไปตั้งโจทย์
กำหนดแนวทางในการจัดหาทุนและสร้างกองทุนวิจัยด้านเกษตร เปลี่ยนระบบบริหารและให้ทุนการปรับปรุงพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะกรณีการวิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่เป็นโครงการสำคัญระดับประเทศ อันนี้ต้องเป็นการให้ทุนทีมวิจัยจากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง วิจัยกันเป็นทีมผมให้ดูตัวอย่าง อินเดีย ที่ปรับปรุงข้าวอายุสั้น ดูตัวอย่างที่ตอบโจทย์ของเกษตรกรอย่างไร เขาต้องมีทีมวิจัยหลายทีม แล้วบอกว่าอายุสั้นลงไปเท่าไรเมื่อเทียบกับพันธุ์ Pusa44 กี่วัน ใช้น้ำชลประทาน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช แรงงานลดลงไปเท่าไร สุดท้ายกำไรเกษตรกรเพิ่มเท่าไร” อาจารย์นิพนธ์ ระบุ
จากเรื่องงานวิจัยสู่ประเด็น “ชาวนาไทย” ซึ่งพบว่า“ชาวนารายเล็กมีชีวิตที่ยากลำบาก” ชาวนารายเล็กในเขตชลประทานมีที่ดินเฉลี่ย 20 ไร่ ทำนาปีละ 2 ครั้ง รายได้เฉลี่ย 1.2 แสนบาท/ปี ค่อนข้างต่ำและไม่พอเลี้ยงครอบครัว อีกทั้งรายได้ไม่แน่นอนทำให้มีภาระหนี้สินสูงและต้องออกไปหางานอื่นทำนอกพื้นที่ ทั้งนี้ เมื่อใช้เทคนิคการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงการสัมมนากลุ่มของผู้เกี่ยวข้อง จะพบ “ฉากทัศน์” ว่าด้วยอนาคตของชาวนา ได้แก่
“สถานการณ์ในปัจจุบัน” มี 2 ฉากทัศน์ คือ 1.ชาวนามือถือพึ่งเงินอุดหนุน รัฐบาลต้องใช้งบประมาณราว 1 แสนล้านบาท/ปี อุดหนุนชาวนา รูปแบบการทำนาคือ ต่างคนต่างทำ จ้างคนอื่นทำ 2.วิสาหกิจชาวนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง มีการรวมกลุ่มของเกษตรกรหรือตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เน้นข้าวมาตรฐานสูง (Global GAP, ข้าวอินทรีย์) ทำการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวแต่ขนาดยังไม่ใหญ่มาก เน้นจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นหรือภายในประเทศ
กับ “ภาพฝันแห่งอนาคต” มี 2 ฉากทัศน์ คือ 1.ชาวนาไฮเทครายใหญ่ หาก 20 ไร่ มีรายได้ 1.2 แสนบาท/ปี ดังนั้น 200 ไร่ รายได้จะเพิ่มเป็น 1.2 ล้านบาท/ปีแต่รายได้จะเพิ่มนั้นต้องเน้นการใช้เทคโนโลยี เช่น การปรับปรุงคุณภาพตามความต้องการของตลาด 2.พันธมิตรผลิตภัณฑ์ข้าวหลากชนิด ชาวนารายเล็กรวมกลุ่มจัดการฟาร์มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีการจับมือกับภาคเอกชนในการแสวงหาตลาดแบบกลุ่มเฉพาะ (Niche)
“ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นชาวนาไฮเทครายใหญ่ ไม่ชอบ! ชอบให้คล้ายๆ ว่ายังเล็กอยู่แต่รวมกลุ่มแล้วมีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด อันนี้ คือ ฉากทัศน์ที่คนไทยส่วนใหญ่ยัง Small is Beautiful (ความเล็กนั้นสวยงาม) อันนี้เป็นระบบคุณค่าของคนไทย เราคิดอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้เป็น Professional Farmer (เกษตรกรมืออาชีพ) แล้วนะแต่ต้องมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย โอ้โห! ถ้าคุณจะทำผลิตภัณฑ์หลากหลาย สายงานวิจัยสำคัญมากเลย” อาจารย์นิพนธ์ กล่าว

ยกระดับ‘ไทยแลนด์ โอเพ่น’ ชิงเงินรางวัลสูงถึง7ล้าน!!!
‘สส.ศาสตรา’ลุย 10 วันต่อเนื่องช่วยชาวหาดใหญ่ วอนของบซ่อมบ้านเพิ่ม โอด 9 พันไม่พอฟื้นฟู
‘เฉลิม’ลั่นเอง! ไขก๊อก‘เพื่อไทย’ย้ายซบ‘พรรคบิ๊กป้อม’
'GISTDA'โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมพื้นที่ จ.สงขลา โชว์ชัดน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง
มาแทน'ไอซ์' ปชน.เปิดตัว'ปาล์ม ชลณัฏฐ์'ว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 28

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี