สังคมไทยมีอภิสิทธิ์ชนจริงๆ จึงไม่ต้องอ้างว่าสังคมไทยมีความเท่าเทียม กลุ่มอภิสิทธิ์ชนคือคนที่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนทั่วไป แม้กระทั่งในกลุ่มอภิสิทธิ์ชนด้วยกันเอง ก็ยังแบ่งเป็นกลุ่มได้อภิสิทธิพิเศษสูงสุด แล้วไล่เรื่อยลดลงไปตามลำดับชั้นของการเป็นอภิสิทธิ์ชน ดังนั้น ในกลุ่มอภิสิทธิ์ชนก็ยังคงแบ่งเป็นชนชั้นอีกเช่นกัน เช่น อภิสิทธิ์ชนระดับสูงสุด ระดับกลาง และอภิสิทธิ์ชนระดับธรรมดา
อภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยมาจากไหน คำถามนี้น่าสนใจมาก เพราะหากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว การมีสถานะเป็นอภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยเกิดมาจากหลากหลายปัจจัย เพราะคนบางคนเขยิบฐานะขึ้นไปเป็นอภิสิทธิ์ชนได้อย่างพิสดาร บางคนมาจากชนชั้นล่าง แต่เมื่อครอบครองมีอำนาจรัฐ ก็กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนไปโดยปริยาย ส่วนคนบางคนมาจากชนชั้นสูง ก็มักจะได้รับอภิสิทธิ์ไปตามสถานภาพของการเกิด แต่ทว่าคนกลุ่มหลังนี้ จำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ชนชั้นที่ถูกมองว่ามีอภิสิทธิ์ต่ำกว่าผู้มีอภิสิทธิ์ที่อยํู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐ และกลุ่มผู้มีอำนาจทุนระดับชาติและข้ามชาติ
ดังนั้น ความเป็นอภิสิทธิ์ชนจึงไม่ได้ยึดติดหรือมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานภาพของการกำเนิด แต่ยังอยู่ที่ปัจจัยอื่นๆ อาทิ การเป็นผู้มีโภคทรัพย์มากมายล้นฟ้า การมีอำนาจรัฐ และการได้เข้าไปรวมกลุ่มอยู่กับผู้มีอำนาจรัฐและอำนาจทุน
ทำไมคนจำนวนไม่น้อยจึงอยากเป็นอภิสิทธิ์ชน ที่ใช้คำว่าคนจำนวนไม่น้อย ก็เพราะว่าคนบางคนไม่ต้องการเป็นอภิสิทธิ์ชน แม้จะมีสถานภาพการเกิดที่สูงส่งมากกว่าคนทั่วไป และบางคนก็มีเงินทองมากมายล้นฟ้าท่วมดิน
ดังนั้นจึงไม่สามารถเหมารวมได้เสมอไปว่า คนที่เกิดมาสูงศักดิ์ หรือมีเงินมีทองล้นฟ้าท่วมดิน จะต้องเป็นอภิสิทธิ์ชนเสมอไป เพราะเมื่อพิจารณาลึกจริงๆ ก็จะพบว่า คน
บางจำพวกเกิดมาจากชนชั้นล่าง (บางทีถูกเรียกว่าชั้นต่ำ) แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้เลื่อนสถานภาพเป็นอภิสิทธิ์ชน เพราะมีอำนาจรัฐ และมีเงินทองโภคทรัพย์มากมาย กลับไปตอบคำถามว่าทำไมคนจำนวนไม่น้อยจึงอยากเป็นอภิสิทธิ์ชน ตอบได้สั้นๆ โดยสรุปว่า เพราะเขาต้องการสิทธิพิเศษต่างๆ นานาเหนือกว่าผู้อื่น
และเป็นเรื่องน่าสมเพชมากที่คนบางคนซึ่งมีสถานภาพเป็นอภิสิทธิ์ชน แต่กลับดัดจริตจีบปากจีบคอบอกว่าตนเองเป็นสามัญชน คนธรรมดา แต่เมื่อพล่ามว่าตนเองไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ก็กลับทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนยิ่งกว่าเจ้านายชั้นสูงที่เกิดมาในราชตระกูลโดยแท้
ต้องย้ำว่าสังคมไทยมีคนเป็นอภิสิทธิ์ชนจริงๆ โดยเห็นได้จากเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคมนี้ เช่น การได้ในโรงเรียนระดับประถม มัธยมบางแห่ง การได้ทำงานในสถานที่บางแห่ง และการได้เข้าอบรมในโครงการบางชนิด รวมถึงการได้อยู่ในหมู่บ้านบางยี่ห้อ
เราได้เห็นถึงการได้รับสิทธิพิเศษของคนจำพวกอภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยมาแล้วจนแทบจะกลายเป็นเรื่องที่ชาชินตัวอย่างที่เจ็บปวดในสังคมไทยที่หลายคนยังไม่ลืมคือ ในยุคที่คนไทยต้องแย่งชิงวัคซีนป้องกันโควิด-19 คนจำนวนไม่น้อยต้องตะเกียกตะกายไปเข้าคิวเพื่อรอรับวัคซีน คนจำนวนหลายล้านคนเข้าคิวแล้วเข้าคิวอีก แต่ก็ไม่ได้รับวัคซีน แต่ทว่ามีคนบางจำพวก เดินเชิดหน้าเข้าไปฉีดวัคซีนได้ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องเข้าคิว คนจำพวกนี้ที่เห็นชัดๆ ก็คือ สส. ดารา นักร้อง และพวกพ้องของ สส. ทั้งๆ ที่คนซึ่งสมควรจะได้รับวัคซีนก่อน คือกลุ่มหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แต่กลับเป็นว่าคนที่ต้องได้รับวัคซีนก่อน ดันได้รับวัคซีนหลังจากพวกอภิสิทธิ์ชนที่ไร้ความละอาย
ภาพการแย่งชิงวัคซีนป้องกันโควิด-19 คือเครื่องยืนยันได้ดีว่า รัฐบาลไทยไม่สามารถทำให้คนไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันได้ เพราะรัฐบาลไทยก็คืออภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งด้วยเช่นกัน
เรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 คือฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดว่าเมืองไทยมีอภิสิทธิ์ชนจริงแท้ยิ่งกว่าจริง แต่เรื่องนั้นก็ผ่านไปแล้ว เพราะบัดนี้วัคซีนป้องกันโควิด-19 มีล้นตลาดในไทย ดังนั้น ในยุคหนึ่งรัฐบาลจึงพยายามอ้อนวอนให้คนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตัวนี้ไปฉีดก่อนที่วัคซีนจะหมดอายุแล้วต้องโยนทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ และเสียเงินตราของประเทศโดยไร้ค่า
คราวนี้มาพูดถึงเหตุการณ์ล่าสุด คือเมื่อสองวันก่อน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของไทย ผู้ใช้เวลาไม่นานนักก็คว้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปครองแบบสบายๆ เท่ๆ ไร้กังวล โดยเศรษฐาไปพูดที่งานเลี้ยงของหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 65 ซึ่งก็ถูกสังคมไทยมองมาโดยตลอดว่าเป็นหลักสูตรของเหล่าอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่ง ทั้งอภิสิทธิ์ชนตัวจริง และคนบางกลุ่มบางจำพวกที่ตะกายดาวอยากจะเป็นอภิสิทธิ์ชนกับเขาด้วย จึงต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเข้าไปอบรมหลักสูตรนี้ให้จนได้
ความน่าสนใจของการที่เศรษฐาไปงานของวปอ. ในครั้งนี้คือ การพูดตรงๆ กลางงานว่า ผู้ที่เข้าอบรมหลักสูตรนี้นับเป็นอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งของสังคมไทย แล้วเศรษฐาก็สารภาพกลางงานว่า ตนเองไม่เคยเข้าอบรมหลักสูตรนี้ ซึ่งทำให้ถูกสังคมตีความและตั้งคำถามว่า หรือว่าลึกๆแล้วเศรษฐาก็อยากจะเข้าอบรมหลักสูตรนี้ แต่ทว่าไม่ได้รับเลือกให้เข้าอบรม แต่ก็ช่างเถอะ เพราะถึงแม้ไม่ได้เข้าอบรม แต่ก็มาในฐานะผู้เหนือกว่าผู้เข้าอบรม เพราะมาในสถานภาพนายกรัฐมนตรี
เศรษฐาพูดถึงเรื่องสายสัมพันธ์โยงใย (connection) ของคนที่เข้ารับการอบรม วปอ. โดยบอกว่า connection ที่ผู้เข้าอบรมได้จากโครงการนี้ จะนำไปสู่ผลประโยชน์ในหน้าที่การงานของคนแต่ละคน และจะนำไปสู่การต่อยอดในด้านธุรกิจอย่างมากมายมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งที่เศรษฐาได้พูดในวันดังกล่าวคือ ขอให้ใช้ connection ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ อย่าเพียงแค่ใช้แต่สิทธิพิเศษเท่านั้น ขอให้อย่าลืมคนตัวเล็กตัวน้อย ช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ผู้ที่อยู่ร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ก่อนที่เศรษฐาจะกล่าวในที่ประชุม บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงนับว่าคึกคักมากเป็นพิเศษทุกคนส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเศรษฐาพูดจบ บรรยายกาศในห้องประชุมก็เปลี่ยนไปทันที ซึ่งไม่แน่ใจว่านิ่งเพราะได้คิด หรือนิ่งเพราะถูกตบหน้ากลางงาน
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า หลักสูตร วปอ. มิได้เป็นเพียงหลักสูตรเดียวที่สาธารณชนเข้าใจว่าเป็นหลักสูตรของเหล่าอภิสิทธิ์ชน แต่ยังมีอีกสารพัดหลักสูตร อาทิ วิทยาลัยตลาดทุน สถาบัน วิทยาการพลังงาน และอีกสารพัดหลักสูตรที่เปิดดำเนินการโดยสถาบันพระปกเกล้า และองค์กรต่างๆที่อ้างว่าเป็นองค์กรอิสระ แม้กระทั่งศาลก็ยังอุตส่าห์เปิดหลักสูตรที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นหลักสูตรสำหรับอภิสิทธิ์ชนเหตุที่คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจเช่นนั้น เพราะว่ามีคนหน้าตาเดิมๆ ซ้ำๆ เวียนวน วนเวียนเข้าไปอบรมหลักสูตรต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางคน (บ้า) ถึงขนาดพิมพ์ลงบนนามบัตรว่าอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนใดมาแล้วบ้าง บางคน (บ้ายิ่งกว่า) อุตส่าห์พิมพ์ลงบนไลน์ของตัวเองว่าผ่านหลักสูตรมหัศจรรย์พันลึกอะไรมาแล้วบ้าง
การตั้งหลักสูตรอบรมที่ใช้ชื่อประมาณว่าผู้บริหารระดับสูงต่างๆ นานาในสังคมไทยนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการสร้าง connection ให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้เข้ารับการอบรม สร้างเครือข่ายภายในระบบอำนาจรัฐ โดยโยงเข้ากับอำนาจทุน โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่ต้องการเข้าไปแนบชิดกับอำนาจรัฐเพื่อหวังผลในการทำธุรกิจแบบทางลัดดังนั้น connection ที่เกิดขึ้นจากหลักสูตรอภิมหาอภิสิทธิ์ชนนั้นนำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ (แนะนำให้ผู้สนใจเรื่องหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนต่างๆ ในสังคมไทยอ่านงานวิจัยของนวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวข้อเครือข่ายผู้บริหารระดับสูง)
นอกจากการอบรมหลักสูตรอภิสิทธิ์ชนต่างๆ แล้ว การประกาศว่าตนเองเป็นคนพิเศษเหนือระดับ ก็ยังปรากฏในรูปแบบการเลือกที่พักอาศัย ดังพบเสมอๆ ว่าคำโฆษณาขายโครงการอสังหาริมทรัพย์บางโครงการจงใจทำให้ผู้ซื้อโครงการเข้าใจว่าการได้เข้าไปอยู่อาศัยในโครงการบางแห่งจะสามารถยกระดับเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นชนชั้นสูงของเมืองไทยไปโดยปริยาย ดังจะพบคำโฆษณาขายโครงการอสังหาริมทรัพย์บางแห่งที่มักใช้คำว่า เอกสิทธิ์เหนือเอกสิทธิ์ หรืออาณาจักรของคนมีระดับ หรืออาณาจักรแห่งความสุขเหนือระดับความสุขทั่วไป ดังนั้น จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจว่าหากต้องการเป็นคนมีระดับ มีความเหนือกว่า ก็ต้องตะกายเข้าไปอยู่ในอาณาจักรที่ให้ความสุขได้เหนือกว่าที่อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม หากเรามีโอกาสถามคนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนว่า เขาคิดว่าเขาเป็นคนอยู่ในชนชั้นใด เขาก็มักจะตอบแบบทางการว่า เป็นคนธรรมดาสามัญ หรือไม่ก็ตอบว่าเป็นคนชั้นกลาง เพราะมักไม่มีใครกล้าประกาศว่าตนเองเป็นคนชั้นสูง หรือเป็นอภิสิทธิ์ชน
จำเป็นต้องกลับไปกล่าวย้ำอีกครั้งว่า สังคมไทยมีอภิสิทธิ์ชนอยู่จริงๆ ส่วนอภิสิทธิ์ในสังคมไทยมาจากไหน หากคุณผู้อ่านสนใจจะค้นหารายละเอียดเรื่องนี้ต้องกลับไปค้นคว้างานเขียนเรื่องชนชั้นในสังคมไทยอ่านเพิ่มเติม ซึ่งมีงานเขียนเรื่องนี้อยู่มากมาย เช่นงานของ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์วรวิทย์ เจริญเลิศ สุภางค์ จันทวานิช และวิทยากร เชียงกูล เป็นต้น
บทสรุปของบทความนี้ คือสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำในแง่มุมต่างๆ จริง ทั้งเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐสถานะ ด้านอำนาจ ด้านการดำรงชีวิตประจำวัน และด้านการเข้าถึงข้อมูลความรู้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตแล้วก็ต้องยอมรับด้วยว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่อนุญาตให้ผู้คนที่เป็นสมาชิกของสังคมสามารถเลื่อนชั้น ขยับสถานภาพของตนเองได้โดยง่าย เช่น คนที่มาจากชนชั้นล่าง สามารถกลายเป็นชนชั้นกลางและชั้นสูงได้ หากมีการศึกษาดีมากๆ มีฐานการเงินดีมากๆ และมีอำนาจรัฐมากๆ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สังคมไทยไม่ได้ปิดกั้นการเลื่อนขยับปรับสถานะของบุคคล แต่กลับเปิดเสรีเป็นอย่างมาก ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงเปลี่ยนสถานะเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ได้โดยไม่ยากเย็น โดยอาศัยช่องทางการขยับสถานภาพทั้งแบบซื่อสัตย์ ด้วยการสร้างฐานะด้วยความสุจริต เพิ่มความรู้อย่างแท้จริง และเพิ่มบุญญาบารมีทางธรรม กับอีกหนทางหนึ่งคือ ตะเกียกตะกายพาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ด้วยการเข้าไปอบรมหลักสูตรอภิมหาอภิสิทธิ์ชนสารพัดชนิดที่เปิดกันมากยิ่งกว่าดอกเห็ดในช่วงหน้าฝน รวมถึงการเป็นอภิสิทธิ์ชนด้วยการใช้สปริงบอร์ดดีดตัวเองเข้าไปมีอำนาจรัฐแบบทางลัด ให้เร็วมากที่สุด โดยไม่สนใจกระบวนการ (means) เข้าไปมีอำนาจ แต่เน้นเพียงจุดสุดท้าย (ends) ของการเป็นผู้มีอำนาจรัฐเท่านั้น เพราะใช้หลักการว่า เมื่อมีอำนาจรัฐแล้ว สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าผิดหรือถูก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี