เส้นทางชีวิตการเมืองของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดูไปคล้ายผีพุ่งไต้...
ลุกโชน สว่างวาบ ตื่นตาตื่นใจ แล้ววูบดับลงอย่างรวดเร็ว
จากเป็นถึง “ว่าที่นายกฯ” แล้วสะดุดเงื่อนไขของตนเองล้มคว่ำ กลายมาเป็นอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมคดีที่ยังติดตัว รอให้สะสาง
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
1. คุณพิธาไม่ใช่ “ผู้นำทางอุดมการณ์” ของพลพรรคก้าวไกล
ไม่เหมือนคุณธนาธร คุณปิยบุตร
และไม่ใช่คนมีบทบาทนำขบวนการมาตั้งแต่ต้นสมัยพรรคอนาคตใหม่ แต่ออกจะอยู่แถว 2-3 ด้วยซ้ำไป
เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ เพราะกู้ยืมเงินจากนายธนาธร เล่นผิดกติกา กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิ คุณพิธาที่มีภาพลักษณ์ดีขณะนั้น จึงได้ขยับขึ้นมาเป็นกระดุมเม็ดแรกในนามพรรคก้าวไกล
2. บทบาทของคุณพิธาถูกใจมหาอำนาจฝั่งสหรัฐอเมริกา เครือข่ายทุน สื่อ องค์กร ที่โปรสหรัฐ ต่างก็ย่อมสนับสนุนอุ้มชูเหมือนที่เคยสนับสนุนธนาธร อนาคตใหม่ และเครือข่าย
คุณพิธา จึงได้รับโปรโมทจาก Time เหมือนที่ธนาธรเคยได้รับ
แน่นอน ถ้าคุณพิธายังเดินสายนี้ไปเรื่อยๆ สักวันก็คงได้รับการโปรโมทเหมือนที่เซเลนสกี้ได้รับนั่นเอง
นั่นไม่ใช่เพราะคุณพิธาทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติไทย เพราะวันนี้ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบในฐานะฝ่ายค้าน หรือฝีมือการบริหาร หรือแม้แต่การทำงานสาธารณประโยชน์เพื่อสังคมก็ไม่ปรากฏอะไรเด่นชัด มีเพียงการแสดงบทบาทในอีเว้นท์การเมืองต่างๆ แต่น่าจะเป็นเพราะบทบาทการเคลื่อนไหวนั้น ตอบโจทย์ผลประโยชน์ฝั่งสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญมากกว่า
สังเกตว่า นโยบายหลายเรื่อง อาทิ นโยบายต่างประเทศของก้าวไกล จะเล่นบทกดดันเมียนมา ตามแนวทาง USA คุณพิธาจะได้หน้า เป็นเด็กดีของตะวันตกแสงสาดจ้าในสื่อตะวันตก แต่ประเทศไทยก็จะถูกอีกขั้วภูมิรัฐศาสตร์โลกตอบโต้ (เช่น จีน รัสเซีย ซาอุฯ ฯลฯ) เริ่มตั้งแต่ผลกระทบการค้าชายแดน การลงทุนจากซาอุฯที่รัฐบาลลุงตู่เริ่มไว้ก็จะมีปัญหา การค้ากับจีน เช่น ทุเรียนไปจีน นักท่องเที่ยวจีน คมนาคมที่จะเชื่อมจีน ฯลฯ เสี่ยงพังทั้งแถบ
3. คุณพิธาไม่ใช่ดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง พรรคก้าวไกลได้คะแนนจากการเลือกตั้งมาอันดับหนึ่งไม่ใช่เพราะตัวคุณพิธาเท่านั้น แต่เพราะกระแสพรรค ซึ่งมีหลายปัจจัยเข้ามาหนุนช่วย ทั้งคุณธนาธร คุณปิยบุตร
นอกจากนี้ ยังมีกองทัพสื่อโซเชียลช่วยปั่นกระแส สร้างวาทกรรม สร้างความหวัง น่าเสียดายที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่บิดเบี้ยวจำนวนมาก
ยกตัวอย่าง ประเด็นเกี่ยวกับนโยบายจะแก้หรือยกเลิก ม.112 สร้างความเข้าใจผิดๆว่ากฎหมายมีปัญหา แต่ความจริงกฎหมายใช้มานาน แต่ช่วงที่ผ่านมา มีคนถูกปั่นด้วยข้อมูลบิดเบือนแล้วออกไปจาบจ้วงทำความผิด พอถูกดำเนินคดีก็หาว่ากฎหมายมีปัญหา จนวันนี้ ยังไม่มีใครในฝั่งพรรคก้าวไกล กล้ารับคำท้าดีเบตข้อมูลประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์กับ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เลย แม้แต่คนเดียว
4. เหตุที่คุณพิธาไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯ ไม่ควรไปกล่าวโทษโชคชะตาฟ้าดิน
เป็นเพราะจุดยืน เงื่อนไข และความต้องการของผู้อยู่เบื้องหลังคุณพิธานั่นเอง
การยืนยันเดินหน้าจะผลักดันแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 และยังประกาศจะจัดวางสถานะและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันอย่างชัดเจน ซึ่งสังคมส่วนใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่ ผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ รวมทั้ง สว. ไม่สนับสนุน
ผู้นำประเทศ ต้องยอมรับเสียงข้างมากของคนทั้งประเทศ มิใช่เอาตามความต้องการของพวกตนเอง
ขณะเดียวกัน นโยบายสวัสดิการสังคมต่างๆ ที่นำไปหาเสียง ก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงในทางการคลังดังที่ได้ยอมรับกันเองหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าจะนโยบายค่าแรง 450 บาทก็ไม่สามารถขึ้นทันที บำนาญชรา 3,000 บาท ก็ไม่ได้ทันที แต่จะได้ปี 2570 โน่น แล้วทั้งหมดอยู่บนเงื่อนไขรัฐบาลจะต้องหารายได้เพิ่ม 6 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งคุณศิริกัญญาก็ชี้แจงว่าเป็นรัฐบาลผสม ทำไม่ได้ ทำให้สวัสดิการต่างๆ จะไม่ได้มีหน้าตาแบบที่หาเสียงไว้
ยังไม่ต้องกล่าวถึงการที่คุณพิธาถูกขุดคุ้ย ทั้งสถานะและผลงานการบริหารบริษัทน้ำมันรำข้าวในอดีต ไม่ได้สำเร็จสวยหรูเหมือนภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างและนำไปขายฝันสวยหรูกับด้อมส้ม ตลอดจนการพูดให้สัมภาษณ์มากมายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องส่วนตัว ทั้งเรื่องเชิงนโยบายและจุดยืนการเมืองที่มีพฤติกรรมกลับไป-กลับมา ฯลฯ
5. คดีที่คุณพิธายังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป?
5.1 คดีหุ้นสื่อไอทีวี
คดีนี้ อยู่ในชั้นพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ คุณพิธาขอขยายเวลาชี้แจงมาแล้ว 2 ครั้ง
ในความเป็นจริง หากต้องการให้คดีได้ข้อยุติไวๆ คุณพิธาซึ่งอ้างมาโดยตลอดว่ามีหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมดสามารถชี้แจงได้แน่นอน ก็จะมีความจำเป็นอะไรต้องขยายเวลามาแล้วถึง 2 ครั้ง
แนวทางการพิจารณาชี้ขาดคดีหุ้นสื่อของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมา หากบริษัทใด “จดแจ้งวัตถุประสงค์ทำสื่อ +เคยทำสื่อจริง + มีรายได้จากการทำสื่อ + แม้ปัจจุบันไม่ได้ทำสื่อ ไม่มีรายได้จากทำสื่อ แต่ไม่ได้จดแจ้งเลิกทำสื่อ + ยังไม่เลิกกิจการ” ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า บริษัทนั้น คือ กิจการสื่อทุกราย
หุ้นอยู่ในชื่อนายพิธา ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ตลอด 16 ปี โดยไม่ระบุว่าเป็นผู้จัดการกองมรดกเลย
แม้นายพิธาอ้างว่ามีคำสั่งศาลแพ่ง แต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ตั้งแต่ปี 2550
อ้างเป็นผู้จัดการมรดกมา 16 ปี ยังไม่มีการจัดการเฉพาะหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น
หุ้นนี้ไปปรากฏอยู่ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ส่วนตัวของนายพิธาหรือไม่? เพราะเหตุใด?
การโอนหุ้นไปให้น้องชาย ทำได้ง่ายดาย เหตุใดไม่ทำก่อนสมัครรับเลือกตั้ง? ฯลฯ
ทั้งหมด ผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด คือ ศาลรัฐธรรมนูญ
5.2 คดีมาตรา 151
คดีนี้ ยังอยู่ในชั้น กกต. ยังไม่ได้วินิจฉัย
ประเด็น คือ รู้ว่ามีลักษณะต้องห้าม แต่ยังไปสมัคร สส.
เชื่อว่า กกต.คงรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดในคดีแรก
คดีนี้ นายพิธามีความเสี่ยงต่างจากกรณีนายธนาธร เพราะคดีนายธนาธรต่อสู้ว่าได้โอนหุ้นก่อนสมัคร สส. เพียงแต่ไม่ได้แจ้งต่อหน่วยงานรัฐ ปรากฏว่า ในคดีอาญา อัยการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นายธนาธรจึงรอด
ส่วนกรณีนายพิธา ไม่เคยโอนหุ้นไอทีวีออกจากชื่อตนเองเลย จนกระทั่งมาโอนให้น้องชายภายหลัง อ้างว่าถือครองในฐานะผู้จัดการมรดก กรณีจึงแตกต่างจากคดีนายธนาธร
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายพิธาถือครองหุ้นสื่อ โอกาสจะรอดในทางอาญา 151 จึงน้อยกว่านายธนาธร
อย่างไรก็ตาม นายพิธายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังมีสิทธิต่อสู้คดีต่อไป
5.3 คดีล้มล้างการปกครอง นโยบายหาเสียงแก้หรือเลิก ม. 112 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่?
นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ… โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ประกาศว่าจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
คดีนี้ อยู่ในชั้นพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ (ศาลรับคำร้องแล้ว และฝ่ายก้าวไกลขอขยายเวลาชี้แจง)
น่าสนใจว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 28-29 / 2555 ยืนยันถึงความสำคัญในการดำรงอยู่ของมาตรา 112 สำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนคำวินิจฉัย 3/2562 (คดียุบพรรค ทษช.) ชี้ว่า การกระทำของพรรคทษช. นำสมาชิกพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงมาฝักใฝ่ในทางการเมือง “...เป็นจุดเริ่มต้นของการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เข้าลักษณะของการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) อย่างชัดแจ้งแล้ว กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรค...”
พรรคก้าวไกลและนายพิธาไปหาเสียงว่า จะยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ตามแนวทางลดการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดทางให้จาบจ้วงล่วงละเมิดได้ โดยเพิ่มเติมข้อยกเว้นให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ อาจขัดรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่าห้ามผู้ใดล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยประการใดๆ
การหาเสียงด้วยนโยบายแก้หรือเลิกมาตรา 112 จึงอาจเข้าข่าย “...เป็นจุดเริ่มต้นของการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง เข้าลักษณะของการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”แล้วหรือไม่?
ถ้าเข้าข่าย ก็อาจเป็นเหตุผลในการจะนำไปสู่การร้องให้ยุบพรรคก้าวไกลตามมาตรา 92 (2) ของพ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ที่บัญญัติว่า หากพรรคการเมืองใดกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ให้ กกต.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค
แม้นายพิธาจะไม่อยู่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลแล้ว ก็ยังเสียวได้
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี