วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การเสียอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ ถือเป็นการเสียอิสรภาพครั้งที่ ๑ ในประวัติศาสตร์ของชาติ เหตุการณ์นี้อาจจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีนายทหารไทยนายหนึ่งที่เคยได้รับความไว้วางใจจากพระมหากษัตริย์ในช่วงเวลานั้นคิดคดทรยศต่อบ้านเมือง
ในปีพุทธศักราช ๒๑๑๑ พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดีที่มีสมญานามว่าผู้ชนะสิบทิศ ด้วยพระองค์ทรงมีความกล้าหาญ เก่งกล้าสามารถในการรบเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้อาณาจักรหงสาวดีเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น เนื่องจากพระองค์มุ่งมั่นในการขยายอาณาเขต ได้ยกทัพไปรุกรานแว่นแคว้นต่างๆ และได้ชัยชนะทั้งหมด จึงได้ชื่อว่าผู้ชนะสิบทิศดังที่ได้กล่าว พระองค์ได้ยกทัพใหญ่ที่มีจำนวนไพร่พลมหาศาลประมาณว่า ๕๐๐,๐๐๐ นาย มาตีกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้ตกเป็นเมืองขึ้นคือเสียอิสรภาพให้แก่กรุงหงสาวดีให้จงได้
ก่อนหน้านั้นในปีพุทธศักราช ๒๑๐๗ เมื่อพระองค์ทราบว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ครอบครองช้างเผือกเป็นจำนวนถึง ๗ เชือก ซึ่งการครอบครองช้างเผือกนั้นถือเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ พระเจ้าบุเรงนองจึงได้ส่งสาส์นมาเจรจาขอช้างเผือกจำนวน ๒ เชือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งหลังจากได้มีการปรึกษาหารือกับเสนาบดีและเหล่าขุนนางทั้งหลายแล้ว ต่างก็เห็นว่าควรจะต้องปฏิเสธ ยกเว้นพระราเมศวร เจ้าพระยาจักรี และพระสมุทรสงครามเท่านั้น พระองค์จึงทรงปฏิเสธที่จะให้ช้างเผือกให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง
เมื่อเป็นดังนั้น พระเจ้าบุเรงนองจึงถือเป็นเหตุที่จะยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา โดยยกทัพซึ่งมีจำนวนไพร่พลหลายแสนนายเข้ามาทางด่านแม่ละเมา และเกิดการต่อสู้กับกองทัพของกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่ในที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาอาจจะพ่ายแพ้ จึงได้มีการเจรจาต่อรองและยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง มอบช้างเผือกจำนวน ๔ เชือก ให้กับพระเจ้าบุเรงนองและมอบตัวผู้ที่คัดค้านการขอช้างเผือกในครั้งแรกคือพระราเมศวร เจ้าพระยาจักรี และพระสมุทรสงครามไปเป็นตัวประกัน และยังต้องส่งช้างให้กับพม่าปีละ ๓๐ เชือก และเงินอีกปีละ ๓๐๐ ชั่งโดยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงต่อรองขอดินแดนอยุธยาที่ถูกยึดไว้คืน ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองก็ถวายให้แต่โดยดี และถอยทัพกลับไปยังกรุงหงสาวดี
ความคิดที่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรหงสาวดี ยังคงมีอยู่ ทำให้ในที่สุดพระเจ้าบุเรงนองตัดสินใจยกทัพใหญ่ มีกำลังพลมหาศาล ลงมาตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในขณะนั้นพระมหินทราธิราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่ด้วยความที่มิได้มีความเก่งกาจและชำนาญการรบจึงได้ไปกราบทูลให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิซึ่งขณะนั้นทรงผนวชอยู่สึกออกมาเพื่อบัญชาการรบ ในการที่จะต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง
ในช่วงนั้น พระมหาธรรมราชาซึ่งเป็นพระราชบุตรเขยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เกิดเรื่องกินแหนงแคลงใจกับพระมหินทราธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิซึ่งได้ขึ้นมาปกครองแผ่นดินแทนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โดยพระมหาธรรมราชาซึ่งถูกส่งไปครองเมืองพิษณุโลกนั้นได้เอาพระทัยออกห่างจากกรุงศรีอยุธยาไปเข้ากับพระเจ้าบุเรงนอง ได้เสด็จไปเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง จึงเป็นจังหวะที่พระมหินทราธิราชได้ไปรับพระวิสุทธิกษัตรีย์และพระเอกาทศรถจากเมืองพิษณุโลกกลับมายังกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระมหาธรรมราชาทรงทราบดังนั้นจึงส่งสาส์นไปยังพระเจ้าบุเรงนองให้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าบุเรงนองยกทัพ ๗ ทัพเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เมืองตาก ประกอบไปด้วยทัพของพระมหาอุปราชา เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองอังวะเจ้าเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงตุง ยกทัพผ่านมาทางกำแพงเพชร รวมทั้งทัพจากเมืองพิษณุโลกด้วย ได้ระดมยุทธวิธีและกำลังทหารเพื่อจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกให้จงได้ โดยมาตั้งทัพอยู่ที่ทุ่งลุมพลี แต่ก็ได้รับการต่อต้านอย่างเข้มแข็งจากกองทัพของกรุงศรีอยุธยาที่ตั้งรับอยู่ โดยได้ระดมทั้งปืนใหญ่และปืนอื่นๆ ที่มีเป็นจำนวนมากจัดวางไว้ตลอดแนวกำแพงและป้อมค่าย เพื่อใช้ในการยิงกองทัพพม่า ที่พยายามรุกเข้ามาซึ่งได้ผลเป็นอย่างยิ่งทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก และถึงแม้จะล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นานถึง ๙ เดือน ก็ยังไม่สามารถจะตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้ และหากยืดเยื้อออกไปอีกเพียงประมาณ ๑ เดือนก็จะถึงฤดูน้ำหลากของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดกันว่ากองทัพพม่าก็จะไม่สามารถตั้งทัพได้อีกต่อไป และอาจจะยกทัพกลับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องพ่ายแพ้ในที่สุดนั้น มาจากการที่พระเจ้าบุเรงนองใช้เล่ห์กลอุบาย อ้างว่าศึกครั้งนี้เกิดจากพระยารามที่เป็นผู้บัญชาการทัพที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา เป็นผู้ที่ยุแหย่ให้พี่น้องทะเลาะกัน หากส่งตัวพระยารามมาให้ พระเจ้าหงสาวดีจะยอมเป็นไมตรีด้วย แต่เมื่อพระมหินทราธิราชส่งพระยารามให้แล้ว พระเจ้าบุเรงนองกลับตระบัดสัตย์ไม่ยอมเป็นไมตรี ทำให้กรุงศรีอยุธยาขาดผู้บัญชาการทัพที่มีความสามารถ แต่ก็ยังคงสู้รบอย่างเต็มกำลัง ทำให้ทัพพม่าไม่สามารถจะตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ
พระเจ้าบุเรงนองจึงออกอุบายโดยจะใช้วิธีส่งไส้ศึก ซึ่งเป็นอดีตนายทหารของกรุงศรีอยุธยาคือเจ้าพระยาจักรี ที่ถูกกวาดต้อนไปตอนสงครามช้างเผือก โดยให้เจ้าพระยาจักรีซึ่งได้ถวายพิพัฒน์สัตยาต่อพระเจ้าบุเรงนองแล้ว ทำเสมือนว่าหนีออกมาจากกองทัพพม่า โดยจับใส่โซ่ตรวนแล้วปล่อยให้หนีออกมา และมีทหารพม่าจำนวนหนึ่งติดตามมา เมื่อหนีเข้าสู่เขตไทยทหารไทยก็ช่วยพากลับเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าบุเรงนองแสร้งทำเป็นมีพระพิโรธ สั่งลงโทษประหารชีวิต ทหารพม่าทั้งหลายที่ไม่สามารถติดตามเอาตัวพระยาจักรีคืนไปได้ โดยการตัดศีรษะและแขวนประจานไว้ ทำให้ฝ่ายไทยเชื่อว่าเจ้าพระยาจักรีหนีมาจริง
เป็นช่วงจังหวะที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงสวรรคต ขาดพระเจ้าแผ่นดินที่มีความสามารถในการบัญชาการรบ พระมหินทราธิราชจึงดีใจที่ได้เจ้าพระยาจักรี ที่เป็นนายทหารเก่าที่มีความสามารถในการรบมาเป็นผู้บัญชาการรบแทน ซึ่งเจ้าพระยาจักรีก็ได้จัดการสับเปลี่ยนกำลังพลและการจัดวางอาวุธตามป้อมค่ายต่างๆ เป็นเหตุให้การป้องกันของกรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลง หลังจากนั้นได้ส่งสัญญาณให้พระเจ้าบุเรงนองทราบ ซึ่งพระองค์จึงสั่งให้มีการระดมพลขุดอุโมงค์ใต้ดินและถมคูเมืองจนเข้าประชิดกำแพงกรุงศรีอยุธยาได้ รวมทั้งใช้ไพร่พลส่วนหนึ่งรุกทางภาคพื้นดินแบบปกติ ด้วยการใช้ต้นไม้เป็นเครื่องกำบังตัว จนในที่สุดกองทัพพม่าสามารถรุกผ่านกำแพงเมืองและเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้ ความพ่ายแพ้ก็เกิดขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ในระยะเวลาเพียง ๑ เดือน
ประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ชัดเจนว่า การที่มีนายทหารระดับสูงกระทำการที่เป็นการทรยศต่อแผ่นดินเกิดนั้น ได้ก่อให้เกิดผลร้ายจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งก่อตั้งมาแล้ว ๒๑๙ ปี ต้องเสียอิสรภาพให้แก่กรุงหงสาวดีในปีพุทธศักราช ๒๑๑๒ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง
หันมาดูเหตุการณ์ของบ้านเมืองเราในขณะนี้ จะเห็นว่าได้มีพรรคการเมืองฝ่ายค้านพรรคหนึ่ง ซึ่งเกือบจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่จากการที่มีจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะกระทำการที่จะกระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงพลาดโอกาสดังกล่าวไป แต่ขณะนี้พรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคการเมืองพรรคนี้ โดยเฉพาะที่มาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดำเนินการที่จะให้มีการยกเลิกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือที่รู้จักกันดีว่า กอ.รมน. อันเป็นหน่วยงานพลเรือนแบบพิเศษ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ เมื่อปี พ.ศ ๒๕๕๑ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ รวมทั้งการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้อย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยหน่วยงานพิเศษนี้อยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ โดยการทำงานจะเป็นการประสานความร่วมมือกัน จากกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคง กรมการปกครอง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
โดยพรรคการเมืองดังกล่าวอ้างว่าการมี กอ.รมน. ก่อให้เกิดปัญหาต่อความไม่สงบของชายแดนภาคใต้ แต่ความจริงแล้วความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นจากการที่มีกลุ่มบุคคลซึ่งมีความคิดของการแบ่งแยกดินแดนและทำให้เกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนอันเป็นสาเหตุของความไม่สงบ มีการเข่นฆ่าชีวิตของผู้คนที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งบางครั้งก็รวมคนที่อยู่ในศาสนาเดียวกันด้วย
ดังนั้น หากไม่มี กอ.รมน. เข้าไปในการควบคุมกำกับและป้องกันเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ขบวนการดังกล่าวก็จะกำเริบเสิบสานมากขึ้น และจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในที่สุด การกระทำของพรรคการเมืองหรือบุคคลใดๆ ก็ตามที่จะให้ยกเลิก กอ.รมน. จึงเสมือนการกระทำของผู้ที่ทรยศต่อแผ่นดิน อันเป็นสิ่งที่ ไม่ใช่เฉพาะภาครัฐเท่านั้นที่จะต้องไม่ยอม แต่ประชาชนชาวไทยทั้งหมดที่รักชาติรักแผ่นดินอย่างแท้จริง ก็จะยอมไม่ได้เป็นอันขาด
ปิยะ เนตรวิเชียร

ด่วน!ประกาศ‘เคอร์ฟิว’ 5 อำเภอ‘ตราด’ หลัง‘บก ฉก.นย.’ถูก M79 ยิงถล่ม พบพิกัดจากในประเทศ
พบโดรนปริศนาบินว่อนทั่วเมืองตราด ไทย-เขมรปะทะเดือดกลางดึก แนวรบบ้านชำราก
‘ทภ.2’รายงานแนวรบชายแดนไทย-กัมพูชายังตึงเครียด ‘ศึกตาควาย’ยังไม่จบ ต้องรบต่อ
เจอจะๆหลักฐานมัด‘กัมพูชา’ พบขุดคูเลต-สร้างบังเกอร์-ฐานยิงปืนใหญ่รอบ‘ปราสาทคนา’
‘นิพิฏฐ์’เสียดาย‘สส.พัทลุง’ทิ้ง‘ปชป.’ ย้อนอดีตเป็นผู้ตัดสายสะดือ วันนี้ยืนอย่างเดียวดาย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี