ในสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้ นอกจากการขับเคลื่อนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในลักษณะสากล ลักษณะพหุภาคีและลักษณะทวิภาคีอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กำลังย้ำเน้นและกำหนดเป็นเป้าสำคัญจนเด่นชัดก็คือ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน
มุ่งเป้าไปที่ปัญหาหนี้สินครัวเรือนหรือหนี้สินของภาคประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาหามีใครให้ความสำคัญหรือสนใจไยดีที่จะแก้ไขอย่างจริงจังไม่ จะมีการพูดถึงหรือเอ่ยถึงบ้างก็แบบขอไปที มีลักษณะไม่ต่างกับการผายลมในยามกินอาหารอิ่มท้อง
เพราะเหตุนี้ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎรซึ่งเป็นเรื่องจริง เป็นของจริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และให้ผลจริงจึงยังคงดำรงอยู่ ยังคงขยายตัวและยังเกิดเป็นปัญหาที่ก่อความทุกข์ยากทุกข์เข็ญแก่อาณาประชาราษฎรทั้งประเทศ
บรรดานโยบายทั้งหลายของรัฐบาล ถ้าเข้าไปไม่ถึงปัญหาความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรแล้ว นโยบายเหล่านั้นก็ไม่ได้ตรงเป้าเข้าจุดในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน แม้ว่าจะตกแต่งให้โก้หรูวิลิศมาหราน่านิยม หรือไม่ว่าจะใช้ IO ตีฆ้องร้องป่าวให้สนั่นหวั่นไหวเพียงใดก็ไม่มีค่าในทางความจริง
ดังนั้นการที่นายกเศรษฐา ทวีสิน กำหนดเป้าและมุ่งเน้นอย่างชัดเจนที่จะแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนจึงตรงเป้าเข้าจุด เรียกว่าถึงใจของประชาชาติไทยทั้งผอง และทำให้นักการเมืองใดก็ตามที่มองข้ามหรือไม่สนใจเรื่องนี้ต้องหน้าแหกหน้าแตกไปตามๆ กัน เพราะสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นทำอยู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรแต่ประการใด
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจและร่วมมือร่วมใจกันเพื่อให้ปัญหาใหญ่หลวงที่สุดของชาติที่เป็นความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของประชาชาติไทยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที
เรื่องแรก ที่ต้องทำความเข้าใจคือสภาพหนี้สินในภาคประชาชน ที่เขาเรียกกันว่าหนี้สินครัวเรือน ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่าผลการบริหารของรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำให้หนี้สินครัวเรือนพุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือมียอดหนี้เพิ่มขึ้นจากก่อนเข้าสู่อำนาจร่วมเท่าตัว และมียอดหนี้สินครัวเรือนรวมทั้งสิ้นประมาณ 15 ล้านล้านบาท เอาเป็นว่าเป็นจำนวนมากที่สุดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ใครจะว่าดี ว่าไม่ดี ว่าผิดถูกก็ว่ากันไป แต่เราจำเป็นต้องกล่าวถึงยอดหนี้ของภาคครัวเรือนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ขอให้ทำความเข้าใจด้วยว่ายอดจำนวนหนี้สินครัวเรือน 15 ล้านล้านบาทนั้นเป็นตัวเลขที่เป็นทางการคือผ่านระบบหรืออยู่ในระบบการเงินหรือสถาบันการเงินของรัฐ จึงสามารถมีตัวเลขมารวมคำนวณได้ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้สินนอกระบบ ซึ่งมีอีกจำนวนมากและเป็นภาระประเภทที่เป็นอาชญากรรมต่อประชาชาติไทยด้วย
เรื่องที่สอง ในจำนวนหนี้สินทั้งหมดนั้น ลูกหนี้คือผู้มีอายุระหว่าง 20-45 ปี ซึ่งหมายความว่าคนในวัยทำงานทั้งหมดของประเทศนี้มีหนี้ที่ต้องชำระถึง 15 ล้านล้านบาทโดยไม่รวมยอดหนี้ที่ไม่เป็นทางการ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสและรุมเร้าคุกคามชีวิตของประชาชนขนาดไหนซึ่งเรื่องนี้ไฉนเล่านักการเมืองทั่วไปจึงไม่ใส่ใจไยดีเลย
ประชากรในวัยเด็กและวัยชราไม่ได้ก่อรายได้จึงไม่มีผลต่อการชำระหนี้หรือทำให้ยอดหนี้ลดลง แต่คนอยู่ในวัยทำงานที่จำเป็นต้องใช้ทุนไม่ว่าส่วนตนส่วนครอบครัว หรือกิจการ กลับถูกมัดตราสังไว้ด้วยภาระหนี้สิน
ที่สำคัญคือระยะเวลาชำระหนี้ยืดยาวมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 20 ปี ย่อมหมายความว่าผู้มีอายุ 20 ปีกว่าจะใช้หนี้เสร็จก็เมื่ออายุล่วงแล้ว 40 ปี ลดหลั่นกันไป เว้นแต่จะก่อหนี้ใหม่หรือถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 สามารถลดหนี้ได้บางส่วน ส่วนผู้มีอายุ 40 ปี กว่าจะชำระหนี้หมดก็เกษียณอายุพอดี อนาคตของคนเหล่านี้ช่างมืดมนยิ่งนัก นี่คือชะตากรรมร่วมกันของคนไทยที่จะมองข้ามไปไม่ได้
เรื่องที่สาม หนี้สินจำนวนมากเกิดขึ้นจากการยุยงส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเงิน โดยเฉพาะนโยบายจ่ายคนละครึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายสร้างความฉิบหายแห่งชาติอย่างหนึ่ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาคนโบราณท่านก็สอนไว้ว่า “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท” คือสอนให้ผู้คนรู้จักการออมเพื่อความมั่นคงในชีวิตและครอบครัวในอนาคต
แต่กลับมีการยุยงส่งเสริมให้มีการใช้เงิน คือมีเงินเท่าไหร่ก็เอามาใช้เสีย โดยรัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่ง ทำกันอย่างนี้หลายปีเต็มที จนใครมีเงินออมก็อาจหมดเนื้อหมดตัวไปแล้ว ที่สำคัญคือการออกเงินให้ครึ่งหนึ่งเพื่อไปซื้อของหรือไปท่องเที่ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ก่อให้เกิดความเย้ายวนใจในการก่อหนี้สินเพิ่มเพื่อนำเงินไปใช้สอยเที่ยวเตร่ ทำให้คนที่มีเงินออมเหลืออยู่บ้างก็หมดตัวที่เป็นหนี้ก็เพิ่มขึ้น
เรื่องที่สี่ มีการจูงใจให้ก่อหนี้เพิ่มในสารพัดรูปแบบกระทั่งแบบมหัศจรรย์พันลึก นั่นคือระบบของบัตรเครดิตที่ให้วงเงินแบบไม่สนใจในฐานะและรายได้ จนยั่วยวนใจให้เด็กเยาวชนหรือคนเริ่มต้นชีวิตการทำงานต้องใช้บัตรเครดิตไปใช้จ่ายจนกระทั่งเต็มวงเงิน แล้วต้องไปเปิดบัตรเครดิตใหม่เพื่อเอาเงินไปชำระบัตรเครดิตเก่าหมุนเวียนเปลี่ยนเพิ่มกันไปจนมีหนี้บัตรเครดิตคนละหลายใบมูลค่านับแสนๆ บาท
ครั้นเกิดเป็นอุปนิสัยใช้จ่ายเงินแบบไม่คิดและวงเงินบัตรเครดิตก็เต็มแล้ว คราวนี้ก็ต้องไปก่อหนี้นอกระบบที่ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อสัปดาห์บ้างร้อยละ 3 ต่อวันบ้าง ซึ่งโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ทำให้คนไทยเสียผู้เสียคนไปเป็นจำนวนมาก
นี่คือทุกข์อริยสัจที่รุนแรงที่สุดบนบ่าของประชาชนที่จำเป็นต้องเร่งรีบแก้ไขเพื่อทำให้ความเดือดร้อนผ่อนคลายลง ดังนั้นการจับเอาเรื่องนี้มาขับเคลื่อนของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ในเรื่องนี้ก็ต้องช่วยกันสนับสนุนและร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแก่ราษฎรทั้งผอง
และคอยจับตาดูด้วยว่าจะมีหน้าไหนที่ประพฤติตนเป็นเกาะแก่งกีดกุศลไปขัดแข้งขัดขาหรือร้องเรียนเพื่อไม่ให้ดำเนินนโยบายดังกล่าวสำเร็จเอาไว้ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี