เวลานักการเมืองพูดอะไรสักประโยคหนึ่ง มีคนที่รู้ทันนักการเมืองจะเตือนสติตนเองว่า เชื่อถือคำพูดนั้นได้น้อยมาก และหลายครั้งก็ไม่มีความจริงแม้แต่น้อยจากประโยคที่หลุดออกมาจากปากนักการเมือง
ถามว่าทำไมคนจำนวนมากจึงไม่เชื่อคำพูดของนักการเมือง ตอบได้ว่า เป็นเพราะพฤติกรรมของนักการเมืองที่ทำให้ผู้คนไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา
หากนำเอานักการเมืองมายืนเรียงกัน 100 คน แล้วให้แต่ละคนพูดออกมา มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่คนทั่วไปพอจะเชื่อถือได้คือ ชื่อ และนามสกุลของนักการเมือง ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่พูดออกมานั้น หลายคนบอกว่าไม่สามารถจะเชื่อถือได้เลย ส่วนเรื่องหน้าตาของนักการเมืองนั้น ก็ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่านักการเมืองหลายคนทำศัลยกรรมใบหน้าเสียจนหาเค้าเดิมได้น้อยมาก แต่แม้จะทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าไปจนหมดสิ้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยที่เลวร้ายของนักการเมืองได้
ดังนั้น เวลานักการเมืองพูดว่าจะช่วยชาวนา หรือจะช่วยคนงาน หรือช่วยใครก็ตาม จึงถูกวิพากษ์ว่าเป็นเพียงลมปากที่หาแก่นสารมิได้ ยกเว้นนักการเมืองบอกว่าจะช่วยลูกหลานและพวกพ้องของตนเองเท่านั้นที่พอจะเป็นความจริงได้
ส่วนคำพูดที่บอกว่าตั้งใจเข้ามาช่วยเหลือบ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือประชาชน ล้วนเป็นคำโกหกทั้งสิ้น แล้วยิ่งนักการเมืองจำพวกที่บอกว่า ผมเลิกเล่นการเมืองแน่ๆ หากพรรคการเมืองที่ผมดูแล ได้ สส.น้อยกว่าที่เคยได้ หรือผมรวยมากพอแล้ว ผมไม่โกง ผมต้องการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติ หรือแม้กระทั่งคนที่ตอนพูดยังไม่ได้เป็นนักการเมืองเต็มตัว แต่สุดท้ายก็กลายเป็นนักการเมืองยิ่งกว่านักการเมืองคือ คำพูดทำนองว่า ไม่ทำรัฐประหารเด็ดขาด ขอให้จำไว้เลยว่าทหารคนไทยก็ตามที่มีอำนาจมากๆ ในกองทัพ แล้วชอบพล่ามว่าไม่ทำรัฐประหาร ยิ่งพล่ามเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่าจะทำรัฐประหารมากเท่านั้น
เพราะฉะนั้น จึงมีคนจำนวนมากบอกว่า เวลานักการเมืองพล่ามว่าไม่โกงบ้าน ไม่กินเมือง ก็ไม่ต่างไปจากทหารที่ชอบพล่ามว่าไม่ทำรัฐประหาร
ที่นี้ กลับไปดูกันว่าพรรคการเมืองไหนที่เป็นสมบัติส่วนบุคคลของเจ้าของพรรค หรือผู้มีอำนาจเหนือพรรคบ้าง เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ ก็ทำให้คอการเมืองไทยมองตรงไปยังพรรคเพื่อไทยทันที แล้วก็มีบางคนมองตรงไปยังพรรคก้าวไกลด้วย แต่ก็มีบางคนมองไปที่พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา รวมถึงพรรคชาติพัฒนากล้าด้วยเช่นกัน
แต่ส่วนใหญ่แล้วคอการเมืองไทยจะบอกตรงกันว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของทักษิณ ชินวัตร ต่อให้ทักษิณหนีคดีอาญาไปร่อนเร่อยู่นอกประเทศไทยตั้งกว่า 10 ปี คนที่เป็นลูกสมุนของพรรคเพื่อไทยก็ยังอุตส่าห์กระเสือกกระสนทุรนทุรายไปหาทักษิณได้ ไม่ว่าทักษิณจะหนีคดีไปอยู่ตรงไหนของโลก ลูกสมุนของทักษิณจะไปพบจนได้ แต่คนที่ไม่มีปัญญาไปนำตัวทักษิณกลับมาลงโทษในขณะที่ทักษิณหนีคดีอาญาคือตำรวจไทย ศาลไทยและรัฐบาลไทย ขอย้ำว่าลูกสมุนทักษิณบินไปหาทักษิณกันอย่างเอิกเกริกเกรียวกราว แถมยังมีภาพมาอวดว่าไปพบทักษิณที่ไหน แต่ทว่าตำรวจไทย ศาลไทย และรัฐบาลไทยไม่เคยมีปัญญานำตัวทักษิณกลับมาดำเนินคดีได้ จนสุดท้ายทักษิณคงเบื่อกับความไร้ปัญญาของคนกลุ่มดังกล่าว ก็เลยตัดสินใจกลับประเทศไทยแบบเท่ๆกลับมาราวกับวีรบุรุษ เพราะมีการเปิดห้องรับรองพิเศษที่สนามบินรอรับ แถมยังมีนักการเมืองจำนวนมากไปรอกราบกราน แล้วที่สำคัญคือมีตำรวจ ทหารจำนวนไม่น้อยไปรอแสดงความเคารพนักโทษหนีคดีอาญา นี่ยังดีนะที่ผู้ที่ทำหน้าที่บนศาลไม่ได้รอรับแล้วแสดงความเคารพทักษิณด้วย
เมื่อนักโทษชายทักษิณกลับมาถึงไทยเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ต้องเข้าไปรับโทษทัณฑ์ใดๆ ในคุก เพราะคุกไทยไม่มีความสามารถขังทักษิณได้ แต่ที่หนักกว่าคุกไทยก็คือผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ไม่น่าจะมีปัญญานำทักษิณกลับเข้าไปรับโทษในคุกไทยได้ เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้เพียงว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์หลายคนไม่มีปัญญานำทักษิณกลับเข้าไปรับโทษในคุกของไทยได้ ซึ่งก็ต้องถามอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่า มีข้อกำหนดไว้ในกฎระเบียบใดของกรมราชทัณฑ์หรือที่บ่งบอกว่าไม่สามารถนำทักษิณเข้าไปอยู่ในคุกของเมืองไทยได้
เมื่อนักโทษชายทักษิณมาถึงเมืองไทยแล้วไม่ต้องถูกนำตัวไปเข้าคุก ไม่มีการสวมกุญแจมือ หรือโซ่ตรวนใดๆ ซึ่งผิดกับนักโทษรายอื่นๆ ที่ถูกสวมกุญแจมือ และถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ก็จึงทำให้สาธารณชนรู้ซึ้งถึงความไม่เป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ยุคที่ให้ความเคารพอย่างมากมายต่อนักโทษชายทักษิณ
ตัดภาพออกจากประเด็นนักโทษชายทักษิณไม่ต้องอยู่ในคุก ไปที่ภาพของพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองที่เป็นสมบัติส่วนตัวของทักษิณ เพราะทุกการกระทำของพรรค ทุกการตัดสินใจของพรรคต้องได้รับการยินยอมจากทักษิณก่อน หากทักษิณไม่อนุญาตให้ทำ คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ก็ไม่สามารถทำได้เป็นอันขาด
ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงอยู่ใต้อำนาจของทักษิณ นี่คือประเด็นที่นักข่าวการเมือง และสาธารณชนที่เป็นคอการเมืองไทยต่างวิพากษ์ตรงกัน
หากจะเข้าใจเรื่องนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่าอดีตของพรรคเพื่อไทยมีความเป็นมาอย่างไร หากเข้าใจอดีตของพรรคเพื่อไทยอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็จะหายสงสัยโดยพลันว่าเหตุใดพรรคนี้จึงเป็นสมบัติส่วนตัวของทักษิณ
ย้อนหลังไปเมื่อยุคที่ทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2541 หลังจากที่ทักษิณเคยรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรมมาก่อน จนในปี 2544 พรรคไทยรักไทยของทักษิณก็ได้เก้าอี้ สส. มากเป็นอันดับหนึ่ง จึงทำให้ทักษิณได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 23ของไทย
ถือได้ว่าทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่ถูก ป.ป.ช. ฟ้องร้องในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินโดยเอาทรัพย์สินส่วนตัวไปซุกซ่อนไว้ที่คนรับใช้ของตนเรื่องนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ปรากฏว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 ต่อ 7 เสียง ลงมติว่าทักษิณบกพร่องโดยสุจริต โดยไม่มีความผิดในคดีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งในยุคนั้นคำว่าบกพร่องโดยสุจริต ก็จึงเป็นตราบาปของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในสมัยนั้นมาจวบจนทุกวันนี้จึงทำให้สังคมเกิดคำถามว่าบกพร่องโดยสุจริตคืออะไร หรือว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนในยุคนั้นเห็นดีเห็นงามกับการบกพร่องโดยสุจริต ขอย้ำว่าเรื่องบกพร่องโดยสุจริตจะเป็นตราบาปในวงการศาลรัฐธรรมนูญไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางรายที่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้จะตายไปแล้วก็ตาม
มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่งคือ ในยุคทักษิณในนามพรรคไทยรักไทยครองเมือง ทักษิณได้ออกนโยบายทำสงครามปราบปรามยาเสพติด และปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คอการเมืองไทยมองว่า รัฐบาลเพื่อไทยในยุคปัจจุบันก็กำลังดำเนินนโยบายคล้ายๆกับสมัยทักษิณครองเมือง โดยเฉพาะนโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งมีการประกาศให้ตำรวจ และฝ่ายปกครองในสังกัดกระทรวงมหาดไทยปราบปรามผู้มีอิทธิพลซึ่งประเด็นนี้คือเรื่องที่เพื่อไทยกำลังเดินตามสิ่งที่ไทยรักไทยได้เคยทำมาก่อน แต่ก็ต้องบอกว่าไทยรักไทยทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ แต่กลับยิ่งทำให้ถูกวิจารณ์หนักว่าใช้ศาลเตี้ยจัดการโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม
ขอกล่าวแบบรวบรัดข้ามไปถึงประเด็นพรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคเมื่อปี 2550 จากนั้นพรรคพลังประชาชนก็แปลงกายเปลี่ยนโฉมหนีข้อกฎหมายไปอยู่ในรูปพรรคพลังประชาชน แต่พรรคพลังประชาชนก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอีกในช่วงปลายปี 2551 แล้วพรรคพลังประชาชนก็แปลงกายเป็นพรรคเพื่อไทย โดยทักษิณตั้งพรรคเพื่อไทยรองรับไว้เพื่อเป็นทางหนีให้กับพรรคพลังประชาชน
ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจว่าทำไมพรรคเพื่อไทยจึงถูกมองว่าเป็นพรรคของทักษิณ การที่มีผู้มองเช่นนั้น มิใช่เพราะว่าทักษิณตั้งพรรคเท่านั้น แต่เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนมัดแน่นว่าทักษิณมีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทยหลายประการ จนกระทั่งในเดือนตุลาคม 2566 ก็มีหลักฐานชัดเจนปรากฏว่าลูกสาวคนสุดท้องของทักษิณ คือแพทองธาร ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังจากประกาศตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมาระยะหนึ่ง ซึ่งคำว่าหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าพรรคเพื่อไทยมีสถานภาพเป็นเสมือนครอบครัว เพียงแต่ใช่คำว่าพรรคเข้ามาบังหน้าเท่านั้น โดยมีเจ้าของชื่อทักษิณ แล้วคนที่รับคำสั่งให้ทำงานก็คือคนที่ทักษิณไว้วางใจ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าทักษิณไม่เคยไว้ใจใคร และไม่ยอมให้พรรคของตนอยู่ในอำนาจของใครอื่น นอกจากอยู่ในอำนาจของตนเพียงคนเดียว
เมื่อทักษิณยึดมั่นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นของตนเอง ก็จึงไม่ใช่เรื่องพิสดารที่ทักษิณจะสั่งการให้ลูกสาวคนเล็กไปทำหน้าที่เป็นหุ่นเชิดในตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เพราะฉะนั้น จึงไม่ผิดไปจากความจริงที่สาธารณชนวิพากษ์ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นสมบัติส่วนตัวของทักษิณ เพราะทักษิณบงการให้พรรคต้องเดินไปตามวิถีที่ทักษิณกำหนดทุกประการ ดังนั้น ต่อให้ลูกสาวทักษิณจะอ้างว่าพรรคเพื่อไทยเป็นของทุกคน จึงเป็นเพียงคำอ้างที่ไม่มีคอการเมืองไทยคนไหนยอมเชื่อ ซึ่งก็ต้องบอกว่าแม้กระทั่งลูกสาวของทักษิณก็รู้ดีว่าตนเองกำลังพูดโกหก แต่จะให้เขาทำอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อเขาก็รู้ดีว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของทักษิณ แต่ก็คงจะเชื่อเอาเองว่าหากวันหนึ่งเมื่อทักษิณตายไปแล้ว พรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของหัวหน้าพรรคที่เป็นลูกสาวคนเล็กของทักษิณต่อไป เข้าทำนองสมบัติของพ่อส่งต่อให้ลูก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี