ในสังคมไทยเราต่างคุ้นเคยกับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำประจำวัน ซึ่งขณะนี้ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 310-315 บาท ซึ่งเรามีการพิจารณาหาข้อยุติแบบสามเส้าระหว่างฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง กับฝ่ายรัฐบาล ว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกกี่บาทในแต่ละปี และทั้งนี้ในแวดวงฝ่ายการเมืองภาครัฐบาลได้มีแนวคิดที่ว่า ภายในระยะเวลาอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะให้ค่าแรงประจำวันขั้นต่ำเพิ่มขึ้นไปให้ถึงจำนวน 600 บาทต่อวัน
แต่ทั้งหมดนี้ก็มิได้มีการตั้งคำถามว่า ระหว่างปีก่อนหน้านั้น ค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ที่ 300 กว่าบาท จะมีปรับเป็นขั้นบันได ขยับเป็น 400 บาทต่อวัน ก่อนจะในที่สุดจึงจะขึ้นเป็น 600 บาทหรือไม่? และจำนวนเหล่านั้นจะมีความเพียงพอต่อการดำรงชีพประจำเดือนได้หรือไม่?
หากฝ่ายผู้ใช้แรงงานได้รับค่าตอบแทนที่วันละ 300 บาทเศษๆ ในขณะที่ต้องทำงานตลอดเดือนเป็นเวลาประมาณ 30 วัน ก็จะได้รับเงินเดือนโดยรวมไม่ถึง 10,000 บาท และถึงจะได้รับค่าแรงรายวันขั้นต่ำที่ 600 บาท เดือนหนึ่งๆ ก็จะมีรายได้รวมประมาณ 18,000 บาท คิดแล้วก็ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอยู่ดี
จากการสอบถามผู้ใช้แรงงาน และผู้เป็นพนักงานบริการต่างๆ แล้ว ก็มักจะได้รับความเห็นเป็นคำตอบว่า รายได้หรือเงินเดือนขั้นต่ำควรจะมีจำนวนอย่างน้อย 20,000 บาทขึ้นไป (สำหรับผู้ที่จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป) โดยประมาณการหรือคำนวณจากค่าเช่าที่อยู่อาศัย หรือค่าผ่อนซื้อค่าใช้จ่ายประจำวัน ทั้งค่าอาหารและค่าเดินทางไปทำงาน ค่าใช้โทรศัพท์มือถือ และระบบอินเตอร์เนตและการสื่อสารสมัยใหม่ บวกค่าพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือหยุดทำงาน ซึ่งอาจจะพอมีเงินคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย
ในการนี้การที่คิดแต่จะบริหารจัดการเรื่องค่าแรงขั้นต่ำประจำวัน จึงไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เว้นแต่จะมีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำประจำวันให้รวมมีรายได้ทั้งเดือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถือว่าเป็นภาระอันหนักหน่วงต่อฝ่ายนายจ้างแบบทันทีทันควัน ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวคิดขึ้นมาใหม่ว่า แทนที่จะคิดที่ตรงประเด็นค่าแรงขั้นต่ำประจำวัน แล้วทำไมถึงจะไม่คิดเรื่องเงินเดือนขั้นต่ำให้เป็นทางเลือกที่จะเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิตและคุณภาพชีวิตได้ดีซึ่งหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรปก็ได้เริ่มทดลองเรื่องนี้โดยใช้คำว่า Universal Basic Income เป็นรายได้พื้นฐานให้กับประชากร หรือประชาชนพลเมืองทั่วไป หรือนัยหนึ่งทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่เงินเดือนขั้นพื้นฐานเท่ากัน ซึ่งในบางประเทศภาครัฐก็จะตั้งงบประมาณไว้เพื่อการนี้ แต่ก็ได้รับการคัดค้านว่า ทำไมผู้คนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว จะต้องมาได้รับเงินเดือนขั้นต่ำนี้ด้วย ในบางประเทศก็คิดที่จะจำกัดเรื่องเงินเดือนขั้นต่ำให้กับประชากร กลุ่มที่ยังขาดรายได้ประจำเดือนที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ล่าสุดที่ประเทศเคนยา ก็ได้มีโครงการทดลองเรื่องเงินเดือนขั้นต่ำนี้ โดยแบ่งประชากรออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.กลุ่มที่ถูกปล่อยให้ช่วยตนเอง
2.กลุ่มที่ได้รับเงินเดือนขั้นต่ำเป็นรายเดือน
3.กลุ่มที่ได้รับเงินเดือนขั้นต่ำรวม 12 เดือนรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
ซึ่งผลการทดลอง ทดสอบ ปรากฏว่ากลุ่มที่ 3สามารถนำเงินทั้งก้อนไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือพัฒนากิจการด้านกสิกรรม และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ดี ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็ไม่แร้นแค้น แต่คุณภาพชีวิตโดยทั่วๆ ไปก็ไม่ดีขึ้นเท่าไร ส่วนกลุ่มแรกนั้นชีวิตก็ไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอนเพราะขาดตัวช่วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็จัดได้ว่าเป็นเรื่องของการเริ่มคิด และเริ่มทดลอง เพื่อจะเสริมสร้างความเสมอภาคในคุณภาพชีวิต เพื่ออำนวยให้มีจุดเริ่มต้นชีวิตที่ทัดเทียมกัน แต่ก็ยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัด เพราะยังมีประเด็นข้างเคียงที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น การขยายฐานการเสียภาษีรายได้โดยตรง และการเพิ่มภาษีทางอ้อม เช่น vat ไปจนถึงการผ่อนซื้อที่อยู่อาศัย ที่มีสัดส่วนสมดุลกับรายได้ ระบบการศึกษาที่ไม่มีค่าใช้จ่ายจนถึงระดับปริญญาตรี และระบบการรักษาพยาบาลที่ทั่วถึงเป็นระบบเดียวไม่มีการเลือกปฏิบัติ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่สังคมไทยในหมู่เหล่าต่างๆ ทั้งแวดวงการเมือง แวดวงข้าราชการ แวดวงวิชาการ และแวดวงประชาสังคม จะต้องมาร่วมกันคิด ศึกษา และหาข้อยุติ เพื่อความเสมอภาคและความมั่นคงในชีวิต และเพื่อความสงบและเสถียรภาพของบ้านเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี