มนุษย์ทุกคนล้วนต่างก็ต้องการความเป็นอิสรเสรีทั้งสิ้น หรือนัยหนึ่งก็คือการอยากเป็นเสรีชน แต่เมื่อมนุษย์ต้องมาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เหล่า ก็จำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์กติกากลางขึ้น เพื่อให้สามารถร่วมกันอยู่ได้อย่างสันติสุขและสมานสามัคคี อยู่กันด้วยความเสมอภาค มิมีการเบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบกัน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และมีความเคารพผู้อื่น โดยทุกสังคมจะมีผู้นำ และลูกบ้าน หรือมีกลุ่มผู้ปกครอง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งก็มีกฎเกณฑ์กติกาบ้านเมืองเป็นตัวกำกับ
โดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายชนชั้นผู้ปกครองนั้น ก็จะต้องมีความเที่ยงธรรมในการดูแลทุกข์สุข และไม่เอารัดเอาเปรียบ เคารพในเรื่องเสรีภาพ และความเป็นอิสรเสรีของลูกบ้าน หรือผู้อยู่ใต้การปกครองภายใต้กฎหมายกฎเกณฑ์กติกาที่มีความเที่ยงธรรม
แต่ทว่าในโลกกว้างของเรานั้นมีระบบการเมืองการปกครองหลายรูปแบบผสมปนเป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นเสรีชน หรือความมีอิสรเสรีของประชาชนพลเมืองแต่ละชาตินั้นก็มีความลักหลั่นแตกต่างกันไป เช่นหากเป็นสังคมเผด็จการ ความเป็นเสรีชนก็มักจะถูกจำกัดจำเขี่ย และถูกลิดรอน ข่มเหงกดขี่กันไปในขณะที่สังคมประชาธิปไตยนั้น ความเป็นเสรีชน และการมีเสรีภาพก็มักจะได้รับการให้ความสำคัญ
ในสังคมไทยเรา วิวัฒนาการของการเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ยังดำเนินการอยู่ แต่ในระหว่างนี้คนไทยเราทุกคนก็สามารถที่จะวัดความเป็นเสรีชนและการมีเสรีภาพได้ โดยพินิจพิจารณาจากเรื่องเสรีภาพ 4 ประการด้วยกันคือ
1. เสรีภาพในการแสดงออก ทั้งในการพูดจา ขีดเขียน และชุมนุมกัน (Freedom of expression) โดยเฉพาะ Freedom of speech
2. เสรีภาพในการนับถือศาสนา และการมีระบบความเชื่อถือ (Freedom of religion and belief)
3. เสรีภาพจากการอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว (Freedom from fear)
4. เสรีภาพจากความไม่สมประสงค์ อดอยาก ยากไร้ ไม่ทัดเทียมในการดำรงชีวิต (Freedom from want)
ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นที่ยอมรับกันในประชาคมโลกเป็นเสมือนกรอบและเป้าหมายที่มีความเป็นสากล
จากหลักเสรีภาพ 4 ประการนี้ เราคนไทยทุกคนก็สามารถที่จะถามตนเองว่า เรามีเสรีภาพมากน้อยเพียงใด และมีความพึงพอใจหรือไม่?
โดยทั่วไปสังคมไทยถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องปากท้อง ชาวบ้านไม่อดอยาก แร้นแค้น แต่ทว่าเรากลับมีประเด็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำ หรือความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างผู้มีอันจะกินจำนวนน้อยนิด กับผู้คนส่วนใหญ่ (Inequality) ที่ยังต้องหาเช้ากินค่ำ และรอรับความช่วยเหลือจากสังคม
ในเรื่องเสรีภาพของการนับถือศาสนา และการมีความเชื่อถือนั้น สังคมไทยก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไม่เป็นรองใครในโลกนี้ ไทยเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความหลากหลายต่างๆ แถมยังเป็นดินแดนอันสำคัญในการดูแลต้อนรับผู้อพยพลี้ภัยมาจากต่างแดน
แต่ในเรื่องเสรีภาพทางการแสดงออกนั้นสังคมไทยก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องกฎหมายกฎเกณฑ์กติกา ที่ยังไม่อำนวยให้มีการพูดจากันอย่างตรงไปตรงมา ด้วยหลักถ้อยทีถ้อยอาศัยและการเคารพต่อกันและกัน ซึ่งไทยเราก็อยู่ในวิสัยที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ เพราะเรามีประเพณีวัฒนธรรมของ “การจับเข่าคุยกัน” และความเชื่อถือในเรื่องการเมตตา กรุณา และการมีจิตใจที่ไม่เอนเอียงสุดโต่ง
ในขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ยังตกอยู่ในสภาพของการหวาดกลัวซึ่งอำนาจรัฐ และการใช้อำนาจของฝ่ายชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งน่าจะอยู่ในวิสัยที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ เพราะเรามีหลักธรรมเป็นตัวกำกับ อีกทั้งอุดมการณ์ว่าด้วยการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นั้นหมายถึงการมีจุดร่วมที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศให้ไปข้างหน้า และการหันหน้าเข้าพูดจากัน เพื่อเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคี และการเสียสละต่อส่วนรวม ไม่เอาตัวตน หรือหมู่เหล่าเป็นตัวตั้ง
หากผู้นำสังคมมีหัวใจเป็นเสรีชน ก็ย่อมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไปลิดรอนความเป็นเสรีชนของลูกบ้าน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี