นายธนาธร นางสาวชนาพรรณ และแม่สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกดำเนินคดีอาญาฐานรุกป่าราชบุรี
เนื้อที่รวม 2 พันกว่าไร่ ขณะนี้ คดียังไปไม่ถึงชั้นศาลยุติธรรม (ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์)
มีรายงานว่า อัยการส่งสำนวนคดีคืนกลับมาให้พนักงานสอบสวน ปทส.
โดยอัยการให้สอบสวนเพิ่มเติม และอาจสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางราย
1. การตรวจสอบของกรมป่าไม้ก่อนหน้านี้ พบหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจถือครอง น.ส.3 ก ออกโดยมิชอบ ครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี จำนวน 2,154-3-82 ไร่
ที่ดิน 2 พันไร่ ไม่ใช่น้อยๆ เลย
โดยปรากฏว่า กรณีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ มีบันทึกถ้อยคำที่ผู้ซื้อที่ดินกับผู้ขายที่ดิน รับทราบต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ทำนองว่า น.ส.3 ก อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอนได้ภายหลัง แต่ยืนยันจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่ดิน
ถือเป็นการยืนยันเจตนาที่จะครอบครองพื้นป่าหรือไม่? แล้วปัจจุบัน เมื่อทราบแน่ชัดจากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าเป็นพื้นที่ป่า บุคคลเหล่านี้ได้สละการครอบครอง คืนให้แผ่นดิน หรือยังคงยืนยันครอบครองต่อไปอีก?
ส่วนที่ดินในครอบครองนายธนาธร (อยู่ติดๆ กัน ในบริเวณต่อเนื่องใกล้กัน) ศาลปกครองก็พิพากษายืนยันแล้วว่าอยู่ในเขตป่าจริงๆ
2. บทเรียนอุทาหรณ์ประเด็นเกี่ยวกับการสั่งไม่ฟ้องคดีรุกป่าของอัยการ
พึงสังวรกรณีศึกษา กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีรุกป่ากว่า 6 พันไร่ของบริษัทในเครือเปรมชัย
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า คดีคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ที่มี นายศักดา ช่วงรังษี รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เสนอต่อ นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด ว่า การสั่งไม่ฟ้องในคดีดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบ ไม่ได้พิจารณาหลักฐานอย่างรอบคอบ
ไม่เป็นไปตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงกับราชการและทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมเสนอให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงกับอัยการระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก คือ อัยการที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องโดยตรง มีจำนวน 4 คน
ตั้งแต่ระดับอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ จนถึงระดับอธิบดีอัยการ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุด
กลุ่มที่สอง คือ อัยการที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลและตรวจสอบการสั่งคดี แต่ไม่ดำเนินการอย่างรอบคอบ มีจำนวน 2 คน
เป็นระดับรองอธิบดีอัยการและอธิบดีอัยการ ปัจจุบันเป็นอัยการอาวุโส
อัยการระดับสูงที่เป็นผู้บังคับบัญชา แม้ไม่ได้สั่งไม่ฟ้องโดยตรง
ก็โดนด้วย เพราะ “...สำนวนคดีนี้เป็นสำนวนคดีสำคัญตามหนังสือเวียนของสำนักงานอัยการสูงสุด มีพื้นที่ป่าไม้ที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุกเป็น จำนวน 6,000 ไร่เศษ เป็นคดีที่รัฐมีนโยบายปราบปรามเป็นพิเศษแต่กลับปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุมให้มีการรายงานคดีสำคัญตามระเบียบ อีกทั้งเพิกเฉยไม่แก้ไขทบทวนคำสั่งไม่ฟ้องของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งๆ ที่อยู่ในวิสัยและเวลาที่ยังแก้ไขได้ เท่ากับว่างดเว้นไม่ป้องกันผลร้ายแห่งการกระทำของผู้รักษาราชการแทน เท่ากับเห็นชอบกับความเห็นและคำสั่งเกี่ยวกับสำนวนคดีนี้ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้ลงมือกระทำไปแล้วด้วยโดยปริยาย”
ส่วนอัยการระดับสูง ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องโดยตรง ก็โดนเต็มๆ
เพราะ “...มีลักษณะเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการ และไม่ได้รับการคุ้มครองดุลพินิจ อันเป็นผลให้บรรดาผู้ต้องหายังคงบุกรุกยึดถือทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ของชาติ จำนวน 6,000 ไร่เศษอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย และไม่มีเหตุผลประกอบอันสมควร ก่อให้เกิดผลร้ายแรงแก่ประโยชน์สาธารณะในที่ดินของรัฐ เป็นการทำลายจารีตปฏิบัติขององค์กรอัยการที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน และทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาและด้อยค่าคำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุดอันกระทบต่อภาพพจน์ขององค์กรอัยการในสายตาขององค์กรหน่วยราชการอื่นๆ สถาบันการศึกษาทางกฎหมายและทางวิชาการ
ตลอดจนสื่อมวลชนและประชาชนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ คณะทำงานฯ มีข้อสังเกตประกอบการพิจารณาด้วยว่าการกระทำของอัยการระดับสูงเหล่านี้ อาจมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดอาญา ฐาน
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200 ...”
นอกจากนี้ ยังเสนอแนวทางการพิจารณาสำนวนคดีผ่านพยานหลักฐานใหม่ เพื่อให้ที่ดินที่ผู้ต้องหาทั้งสี่ในคดีนี้ ร่วมกันบุกรุกและยึดถือครอบครองไว้เป็นจำนวน 6,229 ไร่เศษ ให้กลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติ และยังเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐตามภารกิจหลักของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในฐานะทนายแผ่นดินในการดำเนินการตามกฎหมายและทวงคืนสมบัติของชาติต่อไปด้วย
3. ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดผลในทางวิบัติ
แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการ ยังให้ข้อมูลกับสำนักข่าวอิศราด้วยว่า
“ในการสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะ ดำเนินการลงโทษทางวินัย อัยการระดับสูง ทั้ง 6 รายดังกล่าว คณะทำงานฯ มีการระบุว่า
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า อัยการระดับสูง ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีนี้ ต่างรับราชการมาแล้วคนละไม่ต่ำกว่า 20 ปี ทุกคนล้วนเป็นพนักงานอัยการในระดับสูงขององค์กร ต่างก็เคยมีประสบการณ์การสั่งสำนวนทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีปกครองมาแล้วอย่างมากมาย
กรณีไม่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะเชื่อได้ว่า การสั่งสำนวนคดีนี้เกิดจากความผิดพลาดพลั้งเผลอ ไม่รอบคอบ ในแบบปกติที่พนักงานอัยการทั่วๆไปอาจผิดพลาดพลั้งเผลอได้
....หากการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาของกลุ่มพนักงานอัยการดังกล่าวข้างต้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องที่ถูกต้อง และได้รับการคุ้มครองการใช้ดุลพินิจ จะก่อให้เกิดผลในทางวิบัติทำให้การสั่งสำนวนคดีนี้ถูกใช้เป็นบรรทัดฐานของพนักงานอัยการทั่วประเทศใช้อ้างอิงในการสั่งสำนวนคดีบุกรุก ยึดถือครอบครองป่าไม้ทรัพยากรของชาติทุกคดีทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐจะไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด ที่บุกรุกยึดถือครอบครองทรัพยากรป่าไม้แล้วอ้างว่าอยู่ในระหว่างยื่นขอใช้สัมปทานที่ดินของรัฐ หรืออยู่ในระหว่างรอรัฐออกโฉนดให้ได้เลย เนื่องจากพนักงานอัยการระดับสูงเคยใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องและชี้ขาดความเห็นแย้งไม่ฟ้องผู้ต้องหาด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันเช่นคดีนี้มาแล้ว...”
4. กรณีคดีรุกป่าของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีข่าวว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคนนั้น กำลังถูกสังคมจับตามอง
เพราะเคยมีความพยายามจะสั่งไม่ฟ้องมาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่จะได้รับการยืนยันข้อมูลการเพิกถอนเอกสารสิทธิของกรมที่ดิน หลังตรวจสอบพบว่าออกทับพื้นที่ป่าชัดเจน
ปัจจุบัน คดียังคงยืดเยื้อ เนิ่นช้า อัยการตีสำนวนกลับมาที่พนักงานสอบสวน ปทส. คดียังไปไม่ถึงศาลยุติธรรมสักที
บุคคลทั้งสามครอบครองที่ดิน ในพื้นที่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี จำนวนสองพันกว่าไร่
หากจะอ้างอิงว่าศาลปกครองกลางตัดสินว่านายธนาธรซื้อมาโดยสุจริต นั่นก็คดียังไม่ถึงที่สุด (อัยการอุทธรณ์หรือยัง?)
แถมตุลาการผู้แถลงคดีในศาลปกครองก็ยังชี้ว่า ไม่น่าเชื่อว่านายธนาธร จะซื้อที่ดินนี้มาโดยสุจริต
ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงพิจารณามากกว่านั้น เมื่อกลับไปดูข้อเท็จจริงตามการตรวจสอบของกรมป่าไม้
ยิ่งไปกว่านั้น กรณีของนางสมพรและนางสาวชนาพรรณ มีบันทึกถ้อยคำที่ผู้ซื้อที่ดินกับผู้ขายที่ดินรับทราบต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่
ทำนองว่า น.ส.3 ก อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อาจถูกเพิกถอนได้ภายหลัง (เพราะเหตุนี้หรือไม่ กรณีนางสมพรและนางสาวชนาพรรณจึงไม่นำไปฟ้องศาลปกครอง???)
การทำหน้าที่ของอัยการ ในคดีรุกป่าของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ตระกูลมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลทางการเมืองต่อพรรคก้าวไกล จึงถูกจับตามองอย่างมาก
ดังที่นายธนาธร เคยกล่าววาทะหรูหรา ปลุกประชาชนทำนองว่า“เราไม่เอาอีกแล้วกับสังคมที่ไม่มีความยุติธรรม ที่คุกหรือเรือนจำมีไว้ขังคนจน คนรวยและคนมีอำนาจไม่ต้องผ่านเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี