อาณาจักรแรกของชาติไทยตามที่มีการกล่าวกันไว้คืออาณาจักรสุโขทัย ที่ก่อตั้งขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๗๘๐ โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกที่ทรงปกครองบ้านเมือง ความรุ่งเรืองของอาณาจักรปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ขึ้นปกครองแผ่นดินต่อจากพระเชษฐาพ่อขุนบาลเมือง ในปีพุทธศักราช ๑๘๒๒ นอกจากทรงมีพระปรีชาสามารถในทางการรบแล้ว ยังทรงเป็นนักปกครองชั้นยอดด้วย ดังที่ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า “เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดีในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า” ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงให้อิสรเสรีแก่พลเมืองในการทำมาค้าขาย ให้มีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพอย่างเต็มที่ ตลอดจนการยกเว้นการจัดเก็บภาษี
และบางตอนก็เขียนว่า “บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน เห็นเข้าท่านบ่ใคร่พีน เห็นสินท่านบ่ไข้เดือด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่อยเหนือเฟื่อกู้ มันบ่มีช้าง บ่มีม้า บ่มีปัว บ่มีนาง บ่มีเงื่อน บ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมืองได้ ข้าเสือกข้าเสือหัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี” ซึ่งหมายความว่าพระองค์ไม่เห็นด้วย ต่อการลักเล็กขโมยน้อย ไม่มีศีลมีธรรม นอกจากนี้ ใครคนใดก็ตาม หากขัดสน พระองค์ก็จะให้การดูแลช่วยเหลือ ให้สัตว์เลี้ยง ให้เงินทอง ช่วยสร้างบ้านเรือน และแม้แต่ทหารทั้งหลาย พระองค์ก็ไม่ลงโทษรุนแรง
นอกจากนี้ บริเวณปากประตูเมืองยังมีกระดิ่งแขวนไว้ พลเมืองผู้ใดมีปัญหาก็ให้ไปสั่นกระดิ่งได้ ซึ่งพระองค์จะเป็นผู้มาช่วยพิจารณาความ ทำให้พลเมืองมีความเป็นอยู่อย่างดี มีความสุข สมกับชื่อของอาณาจักรสุโขทัย ที่แปลว่ารุ่งอรุณแห่งความสุข
ปราสาทราชวังและวัดวาอารามตลอดจนบ้านเมืองในยุคนั้น เชื่อกันว่าต้องมีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมากดังที่ยังปรากฏเค้าโครงในซากที่ปรักหักพังไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองโบราณที่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์กร UNESCO เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
ในเรื่องสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและศิลปกรรมนั้น บอกได้เลยว่าในยุคสุโขทัย รูปแบบของงานดังกล่าวมีความสวยงามเป็นที่สุด เช่น เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบเฉพาะของอาณาจักรสุโขทัย หรือพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในยุคนั้น ซึ่งหลายองค์มีความงดงามมาก และยังคงอยู่คู่ชาติไทยมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธชินราช ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธชินสีห์ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศ พระศรีศากยมุนี ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศนเทพวราราม พระสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยาราม
ในอาณาจักรรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์พระองค์แรกคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรีก็ได้ทรงก่อสร้างและทำนุบำรุงบ้านเมืองด้วยพระวิริยอุตสาหะมาโดยตลอด และถึงแม้จะมีภัยสงคราม จากพม่ามาโดยไม่ว่างเว้น เริ่มต้นด้วยสงคราม ๙ ทัพ ซึ่งเป็นสงครามครั้งแรก ระหว่างอาณาจักรรัตนโกสินทร์กับอาณาจักรพม่า ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าปดุงที่ได้ยกทัพมีกำลังถึง ๑๔๔,๐๐๐ นาย แบ่งเป็น ๙ ทัพ ๕ ทิศทาง ทั้งจากทางเหนือทางตะวันตกและทางใต้ โดยหวังว่าจะมาตีกรุงรัตนโกสินทร์ และยึดชาติไทยให้จงได้ แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ได้ทรงจัดทัพเพื่อออกสู้รบ โดยมีกำลังพลทั้งสิ้นเพียง ๗๗,๐๐๐ คน แต่ด้วยกลศึกสงครามและความสามารถในการสู้รบของพระองค์และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ทำให้ในที่สุด กองทัพไทยก็มีชัยชนะต่อกองทัพของพม่าทั้งหมด
หลังจากนั้น พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ก็ได้ทรงเดินตามรอยพระบาทของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ทั้งเรื่องการปกป้องบ้านเมือง สร้างความเจริญ และการอยู่ดีมีสุขของพลเมืองทั้งหลายมาโดยตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ได้ทรงสร้างโครงการพระราชดำริ เพื่อให้ประชาชนมีอาชีพและอยู่ดีกินดีได้ด้วยตัวเองมากกว่า ๔,๒๐๐ โครงการ
รัฐบาล ที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปีพ.ศ. ๒๔๗๕ ที่เข้ามาบริหารบ้านเมืองตามรัฐธรรมนูญที่ได้ถูกจัดทำขึ้น ระบุไว้ว่า“ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”และก็ได้พยายามที่จะทำให้ประชาชนชาวไทยเป็นสุข แต่หลายครั้งก็เกิดเหตุการณ์ที่มีปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ที่สำคัญยิ่งคือการคอร์รัปชั่น อันเป็นมูลเหตุสำคัญที่นำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร และหลังจากที่ทหารทำหน้าที่เป็นคณะรัฐบาล อยู่ระยะหนึ่ง จนเห็นว่าเหตุแห่งความเลวร้ายนั้นน่าจะหมดไป ก็คืนอำนาจให้กับประชาชน โดยจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนราษฎร เพื่อจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไป แต่ในที่สุดวงจรแห่งความเลวร้ายก็เกิดขึ้นอีกเป็นระยะๆ ทำให้หลายครั้งความเจริญของบ้านเมืองและการกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งหมายถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม ได้รับผลกระทบมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งนั้น ทุกพรรคการเมืองจะมีการหาเสียงในหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเน้นการเป็นประชานิยม แต่บางพรรคก็จะให้ความสำคัญเรื่องการปฏิรูปรูปแบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้นในที่สุดมักจะปรากฏให้เห็นว่า มีประเด็นซ่อนเร้นซึ่งอาจเป็นภัยต่อประเทศชาติ
เมื่อพรรคการเมืองที่ได้จัดตั้งรัฐบาล และได้เคยหาเสียงในลักษณะของการทำประชานิยม ที่เรียกแบบง่ายๆ ว่าลดแลกแจกแถมนั้น ก็ต้องพยายามที่จะทำให้สิ่งที่ได้หาเสียงไว้ได้เกิดขึ้น รวมทั้งโครงการแจกเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้กับประชาชน ที่อายุตั้งแต่ ๑๖ ปีขึ้นไป และเดิมคาดว่าจะต้องใช้เงินถึง ๕.๖ แสนล้านบาท แต่เมื่อเริ่มมีเสียงคัดค้านจากองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งของรัฐบาลและไม่ใช่รัฐบาลรวมทั้งนักวิชาการ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะกระทำและอาจจะเป็นประเด็นที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ด้วย จึงทำให้โครงการนี้ชะลอตัวลง และก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าในที่สุดจะทำได้หรือไม่
การที่จะนำเงินมาแจกนั้น ประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าเป็นการแจกตัวเงินจริงๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเป็นการแจกเพียงสิทธิในการใช้จ่ายตามวงเงินที่กำหนดไว้ โดยจำกัดขอบเขตของการใช้จ่ายและพื้นที่ที่จะใช้จ่ายเงินดังกล่าวด้วย
แน่นอน ต้องมีประชาชนจำนวนไม่น้อยซึ่งฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี ก็คงอยากได้ สิทธิแห่งการใช้เงินก้อนนี้เพราะเมื่อมีการให้ ก็ต้องรับไว้ เพราะไม่ต้องลงทุนแรงอย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
การดำรงชีวิตของใครก็ตาม ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก ซึ่งต้องหมายถึงการมีอาชีพ และควรจะเป็นอาชีพที่สุจริต และหารายได้ให้เพียงพอต่อการที่จะมีชีวิตอย่างสุขสบายตามสมควร ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐจะต้องให้ความสนับสนุนในการหาช่องทางสร้างอาชีพให้กับประชาชนให้มากที่สุด จะด้วยวิธีใดก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำไปขบคิดวางแผนและทำให้เกิดขึ้นได้จริง แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการแจกเงิน ซึ่งในที่สุดแล้วอาจจะทำให้ประชาชนชาวไทยบางส่วนรู้จักแต่การแบมือเพื่อรอรับ เงินทองหรือสิ่งของเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง และอาจจะกระทบต่อฐานะทางเศรษฐกิจในระยะยาวโดยรวมของชาติได้อีกด้วย
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี