การที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำ และเป็นคณะจัดตั้งรัฐบาลนี้ อ้างว่าที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ด้วยจำนวนเงินประมาณ 570,000 ล้านบาท เพราะเป็นสัญญาประชาคม และประชาชนพลเมืองได้ให้ความเห็นชอบนั้น ดูจะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ด้วยว่าพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนพลเมืองส่วนใหญ่มิได้ให้ความเห็นชอบต่อโครงการนี้
แต่เมื่อเผอิญพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสจับพลัดจับผลูมาจัดตั้งรัฐบาล ก็หยิบยกเอาโครงการนี้กลับมาปัดฝุ่นแล้วก็ยัดเยียดต่อสังคมไทย โดยเริ่มมาเพียงชื่อโครงการและวาทะต่างๆ ให้สังคมเกิดความเร้าใจเพียงเท่านั้น แล้วค่อยมานั่งคิดจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ โดยมิได้มีแผนงานในรายละเอียดใดๆ อยู่ในมือมาก่อนเลย และก็ต้องมาเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องความคิดอ่าน สถิติตัวเลข และผลตอบแทน ที่จะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย แต่พรรคเพื่อไทยเองก็ยังมีทีท่าที่จะดันทุรังเข็นนโยบายนี้กันต่อไป โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน และข้อท้วงติงใดๆทั้งสิ้น โดยปล่อยให้ประเทศชาติรับเคราะห์กรรม ชนิดถึงแม้อนุชนรุ่นหลังจะต้องมาแบกภาระรับผิดชอบ พรรคเพื่อไทยก็ไม่หวั่น ไม่สนใจ เพราะถึงวันนั้นผู้รับผิดชอบต่างๆ ก็คงจะล้มหายตายจาก หรือไม่ก็อันตรธานหายไป ด้วยการสะบัดหนีด้วยชั้นเชิงและไหวพริบทางด้านกฎหมายเป็นสำคัญ
แต่ถ้ายังมีจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ เมื่อผิดพลาดไปแล้ว ก็ควรจะปรับตัวปรับตนเสีย สังคมไทยจะได้หายใจทั่วท้องมากขึ้น และอยากเชิญชวนคนไทยมาร่วมกันคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าสังคมไทยจะมีเงินงบประมาณเหลือถึง 570,000 ล้านบาท เราจะใช้ประโยชน์กับมันอย่างไร?
ผมเองขออนุญาตร่วมฝัน หรือแสดงวิสัยทัศน์ด้วยดังนี้
1. สร้างโรงพยาบาลกลางให้กับทุกจังหวัด และสร้างศูนย์เฉพาะทาง สำหรับโรคเรื้อรังต่างๆ ในทุกภูมิภาคหรือกลุ่มจังหวัด พร้อมกับการเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และเทคนิคการแพทย์ต่างๆ
2. การพัฒนาเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนทางรถไฟ ระบบไฟฟ้า และระบบชลประทาน ให้มีครบและเชื่อมโยงทั้งประเทศ
3. การเร่งพัฒนาการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ พืชพันธุ์ต่างๆ และขยะต่างๆ เพื่อเป็นพลังงานเชื้อเพลิง ลดและทดแทนการใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน
4. การพัฒนาครูและระบบการศึกษา เพื่ออำนวยให้เยาวชนไทยคิดเป็น วิเคราะห์เป็น และทำงานร่วมกัน และร่วมรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งการจัดความพร้อม
ในเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการศึกษา เช่น เครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อการค้นคว้าวิจัยและการพัฒนาไปจนถึงการเร่งพัฒนาเครือข่ายทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ เพื่อรองรับการศึกษาและการค้นคว้าวิจัย
5. การจัดการศึกษาและฝึกอบรมสาธารณชนในการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันและเพื่อการทำอาชีพต่างๆ
6. การจัดวางระบบการปกครองเพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของประชาชนพลเมือง ด้วยการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง กับฝ่ายปกครองท้องถิ่น
7. การเร่งสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อให้ครอบครัวไทยทุกครอบครัวมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
8. การจัดทำที่ทำกินให้กับเกษตรกรทุกครอบครัว และกำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ กับแรงงานเกษตรกรรับจ้าง เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
9. การทบทวนระบบการผลิตทางด้านการเกษตร ที่จะอำนวยให้ฝ่ายเกษตรกรมีกำไรและยกระดับคุณภาพชีวิต ปลดหนี้สิน และขจัดความไม่แน่นอนของอาชีพ ด้วยการคำนวณความเหมาะสมและความสมดุลระหว่างงบลงทุน กับรายได้
10. การลดและขจัดการใช้เคมีภัณฑ์ทุกชนิดในการเพาะปลูก โดยการให้สิ่งจูงใจแก่เกษตรกรที่เลิกใช้เคมีภัณฑ์ต่างๆ
11. การพิจารณาจัดตั้งระบบรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนต่อหัวต่อคน หรือต่อครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความทัดเทียมและความมั่นคงในคุณภาพชีวิต
12. การให้สังคมไทยมีระบบการรักษาพยาบาลแค่ระบบเดียว เพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคและขจัดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้แต่ละครอบครัวจะต้องเสียค่าบำรุงเพื่อการรักษาพยาบาลตามสัดส่วนของเงินเดือนในระดับที่ย่อมเยา
13. การส่งเสริมวินัยและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเช่น การเสียภาษีทางอ้อมเพิ่มเติม (vat จาก 7% เป็น 8%) และการเสียภาษีรายได้
14. การทบทวนความซ้ำซ้อนของภารกิจของหน่วยราชการ และกองทุนช่วยเหลือต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
15. การโอนงานและงบประมาณจากส่วนกลาง สู่ท้องถิ่นโดยเฉพาะในเรื่องการบริการทางด้านสังคมต่างๆ โดยหน่วยงานกลางควรจะมุ่งภาระหน้าที่ไปในทิศทางของการจัดวางแผนงาน การพัฒนาบุคลากร และการสนับสนุนทางด้านองค์ความรู้หรือวิชาการ จนกว่าฝ่ายปกครองท้องถิ่นจะช่วยตัวเองได้
16. การพัฒนากองทัพให้มีความทันสมัยที่จำนวนคนลดน้อยลง แต่มีองค์ความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีและอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่เท่าที่จำเป็นต่อการป้องกันประเทศ และร่วมกับองค์การสหประชาชาติและมิตรประเทศในการที่จะต่อสู้ ต่อต้าน กับอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆไปจนถึงการมีกองกำลังลาดตระเวนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันภัยและขจัดอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือ แล้วยังจะเป็นการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน และฉะนั้น โอกาสที่จะมีข้อขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องมีการเร่งเจรจาเรื่องปักปันเขตแดนทั้งบนบก ในลำน้ำ และในทะเล กับประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งหมดนี้ แม้จะคิดกันเล่นๆ แต่ก็จริงจัง จึงอยากขอฝากเป็นข้อคิด และมาร่วมกันขับเคลื่อนครับ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี