วิกฤตของประเทศเวลานี้ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่วิกฤตของประเทศคือ“นักการเมือง” โดยเฉพาะนักการเมืองและพรรคการเมืองจากสองพรรคที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย คือพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย
พรรคก้าวไกลแม้จะพลาดหวังจากการเป็นรัฐบาล แต่ก็มิได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้สมกับบทบาท ส่วนพรรคเพื่อไทยเมื่อมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล ก็กลับกลายเป็นว่าคำขวัญเรื่อง“คิดใหญ่ ทำเป็น”นั้น ตลอดระยะเวลาหกเดือนกว่าที่เข้ามาบริหารประเทศ มีอยู่สองเรื่องใหญ่เท่านั้นที่สาละวนอยู่ ยังไปไม่ถึงไหน เรื่องแรกก็คือ“ดิจิทัล วอลเล็ต” อีกเรื่องหนึ่งคือ“นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร”
เรื่องนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จะเรียกว่าคือ“เข็มมุ่งหลัก”ที่เป็นเป้าหมายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยก็ว่าได้ ถึงวันนี้ก็ใกล้จะบรรลุเป้าหมาย นอกจากทักษิณไม่ต้องติดคุกนับตั้งแต่วันแรกที่กลับเข้ามาเมืองไทย ก็ยังจะได้รับการพักโทษในเร็ววันนี้อีกด้วย
ส่วนเรื่อง“ดิจิทัล วอลเล็ต”ที่ทุกฝ่ายในบ้านเมืองนี้เห็นว่า“ได้ไม่คุ้มเสีย” แต่พรรคเพื่อไทยดันทุรังที่จะทำให้ได้นั้น ณ เวลานี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพราะความเห็นจากทุกฝ่ายที่รัฐบาลขอความเห็นไป มีคำตอบเสนอกลับมาหมดแล้ว
ล่าสุดก็คือความเห็นของ ป.ป.ช.ที่มีคำตอบไม่เป็นไปตามความต้องการของพรรคเพื่อไทย เพราะ ป.ป.ช.ชี้ว่าโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”มีความเสี่ยงต่อการทุจริต และอาจจะผิดกฎหมายทั้งรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ถ้าหากรัฐบาลพิจารณาไม่รอบคอบ รวมทั้งต้องตรวจสอบว่าการดำเนินการจะตรงกับที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้หรือไม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ป.ป.ช.เห็นว่าเศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤตแค่ชะลอตัวเท่านั้น รัฐบาลควรจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ด้วยการให้ความสําคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ เป็นต้น
จากการศึกษา“ผลกระทบ และความเสี่ยงต่อความเสียหาย”ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ“ดิจทัล วอลเล็ต”ของ ป.ป.ช. ด้วยการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง จากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ รวมถึงการรับฟังความเห็นจากส่วนราชการและหน่วยงาน ตลอดจนนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีประเด็นหลักอยู่ 4 ประการ
ประเด็นสำคัญที่ ป.ป.ช.ชี้ไว้ก็คือ ความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย และความเสี่ยงต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”
ทั้งนี้ ป.ช.ป.มีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์การดําเนินโครงการตามนโยบายนี้ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจน อย่างเป็นรูปธรรม ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดําเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย
อีกประเด็นหนึ่งความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่า การดําเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ควรคํานึงถึงความคุ้มค่าและความจําเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส, การถ่วงดุล, การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง และความคล่องตัว ที่รัฐบาลจะต้องใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาระหว่างผลดีผลเสียที่จะต้องกู้เงิน จํานวน 5 แสนล้านบาท เพราะการกู้เงินจะเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว เนื่องจากจะต้องตั้งงบประมาณในการชําระหนี้จํานวนนี้เป็นระยะเวลา 4 - 5 ปี อันส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
สรุปก็คือ ได้ไม่คุ้มเสีย และเมื่อวานซืนนี้ (7 มกราคม)จากการประชุมของ กนง.(คณะกรรมการนโยบายการเงิน) ก็ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50 เปอร์เซ็นต์ต่อปีตามเดิม เนื่องจาก กนง.เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำในปัจจุบันไม่ได้บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอ ปรากฏว่ามติดังกล่าวของ กนง.ถึงกับสร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาล เพราะรัฐบาลต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับที่รัฐบาลพยายามอ้างว่าในเวลานี้“เศรษฐกิจวิกฤต” และมีปัญหา“อัตราเงินเฟ้อ”
สำหรับผมเห็นด้วยกับ ป.ป.ช.ที่ว่า หากรัฐบาลมีความจําเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยใช้เงินจากแหล่งเงินงบประมาณปกติมิใช่จากเงินกู้ ด้วยการจ่ายเป็นงวดๆ ผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะมีฐานข้อมูลครบ ยังสามารถทําได้รวดเร็วด้วย
ถ้าทำตามที่ ป.ป.ช.เสนอแนะ ก็มีเสียงตั้งข้อสังเกตว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้อะไรเลย เพราะการจ่ายด้วยระบบแอปเป๋าตังนั้น รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยทำสำเร็จมาแล้ว พรรคเพื่อไทยก็คงกลัวว่าจะไม่ได้คะแนนนิยม และนอกเหนือจากนั้น เงินดิจิทัลที่มีใครบางคนถืออยู่ในมือไว้เป็นจำนวนมากก็จะกลายเป็นแบงก์กงเต๊กในที่สุด ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี