เวลานี้เสียงของคนในสังคมที่พูดถึงมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญปี 2560ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังขึ้นท่ามกลางวิกฤตต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าประเทศไทยอยู่ ณเวลานี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของประเทศ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ไม่สามารถนำพาประเทศชาติฝ่าวิกฤตดังที่กล่าวไปได้ เนื่องจากการบริหารราชการแผ่นดินมีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นที่ตั้ง และนอกจากนั้นก็มีแต่ราคาคุย ถือว่าไร้ฝีมือในการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เรื่องเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง เพราะรัฐบาลเพื่อไทยที่มีสโลแกน“คิดใหญ่ทำเป็น” โดยการชักใยของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณชินวัตร เจ้าของคอกตัวจริงนั้น “คิดใหญ่”ก็คือการคุยโม้โอ้อวดแบบโฆษณาชวนเชื่อ ขณะที่“ทำเป็น”ก็คือเรื่องตรงกันข้าม มีแต่ล้างผลาญเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อหาคะแนนนิยมให้แก่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น
การขับเคลื่อนประเทศในด้านต่างๆ ถึงไม่มีรัฐบาล ข้าราชการประจำในแต่ละกระทรวง และองค์กรต่างๆที่เป็นหน่วยงานของรัฐ โดยมีปลัดกระทรวงและหัวหน้าองค์กรนั้นๆกำกับดูแล ก็สามารถขับเคลื่อนด้วยตนเองได้อยู่แล้ว ซึ่ง 2 ปีที่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นแกนนำบริหารประเทศ เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2คน เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็น ว่างานต่างๆ ล้วนเป็นงานรูทีนหรืองานประจำที่แต่ละกระทรวง และองค์กรต่างๆต้องทำอยู่แล้ว
แม้แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดจากภัยพิบัติ และลุล่วงผ่านไปได้ด้วยดี ก็เพราะข้าราชการประจำเป็นแม่งาน ไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นรัฐบาล
มิหนำซ้ำการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งมีแต่ราคาคุย ยังกลายเป็นสิ่งที่รกรุงรังต่อการทำงานของราชการประจำอีกด้วย มีแต่งานสร้างภาพเพื่อเอาหน้าเท่านั้นนี่ถนัด ขนาดว่านายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“แพทองธารชินวัตร”ไปลงมือผัดข้าวที่จังหวัดน่าน จากการลงพื้นที่ตรวจหน้างานเมื่อคราวเกิดภัยน้ำท่วมในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว..ยังสามารถผัดข้าวได้โดยไม่ต้องจุดแก๊สที่เตา..ก็ทำให้เห็นและถูกจับโป๊ะมาแล้ว
เศรษฐกิจฝืดเคือง ข้าวของแพง พืชผลทางการเกษตรตกต่ำ นักท่องเที่ยวหาย ตลาดซบเซาการลงทุนของภาครัฐไม่มี แม้แต่การเจรจาเรื่องภาษี“ตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐอเมริกา ที่นายพิชัยชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์ไปเจรจาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐฯ กับนายเจมิสัน กรีเออร์ (Mr.JamiesonGreer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และคณะ ก็ล้มเหลว
และเรื่องนี้ก็สำคัญ ซึ่งพรุ่งนี้วันที่ 9กรกฎาคม ก็จะครบกำหนดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศจะเริ่มบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ หลังจากที่ได้ระงับการบังคับใช้ชั่วคราว 90วัน นับตั้งแต่การประกาศอัตราใหม่ออกมาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางให้ประเทศต่างมีการเจรจา ซึ่งทรัมป์พูดจาแบบโอหังว่าให้เข้า“ไปจูบก้น”โดยที่ประเทศไทยจะถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าของไทยสูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์อันจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปถึงภาคการผลิตด้านต่างๆ
ปัญหานี้ไทยอ่วมแน่ แม้“โดนัลด์ ทรัมป์”จะประกาศล่าสุดว่า จะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมเดือนหน้า สำหรับประเทศที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯก็ตาม เพราะผลของการเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ครั้งนี้ นายพิชัย ชุณหวชิรเปิดเผยว่า ทางสหรัฐฯให้ฝ่ายไทยกลับมาจัดทำข้อเสนอใหม่เพิ่มเติม ซึ่งนายพิชัยยังมีหน้าบอกว่า “สรุปแล้ว ผมคิดว่า เป็นไปด้วยดี ทางสหรัฐฯเองก็กล่าวขอบคุณ ที่ไทยมีความกระตือรือร้นในการเจรจา เราก็บอกว่า เราจะนำ Feedbackในวันนี้กลับไปจัดทำข้อเสนอใหม่เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย”
พร้อมกันนี้ นายพิชัยชุณหวชิร เจ้าของวาทกรรม“พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ที่แม้แต่เสียงผายลมก็ยังไม่มีมีใครได้ยิน จากการล้างผลาญนำงบประมาณแผ่นดินไปหว่านแจกเกือบ 2 แสนล้าน ในโครงการ“แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท”เฟส 1 และเฟส 2 ยังได้พูดถึงผลการเจรจากับ“นายเจมิสันกรีเออร์”ว่า “ผมขอยืนยัน จุดยืนของคณะทำงาน ต้องทำข้อตกลงที่ปฏิบัติได้ทั้ง 2ฝ่าย ยั่งยืน และได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย (Win-WinSolution) แม้ว่าการเจรจายังไม่ได้ผล สุดท้ายยังต้องทำงานกันต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศ”
อีกทั้ง แม้ว่าเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมเมื่อวานนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร จะให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 6 กรกฏาคมแล้วก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ไม่ทันวันที่ 1 สิงหาคม และผู้สื่อข่าวได้ถามว่า“เรื่องภาษีเรายังคงคาดหวังให้ต่ำกว่า 18 เปอร์เซ็นต์หรือไม่” ซึ่งนายพิชัยตอบว่า“คิดว่าประเทศที่เจรจาแล้วมีจำนวนน้อย เพราะฉะนั้น อีกจำนวนมากเขาก็คงจะยื่นอีกสักครั้ง ซึ่งยังไม่แน่ใจ เพราะบางคนบอกว่า วันที่ 1สิงหาคมจะกำหนดอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะประกาศออกมาอย่างไรแปลว่ายังไม่ได้จบ มันอาจจะสามารถปรับปรุงได้เรื่อยๆ”
สรุปก็คือไม่จบ และยังไม่เห็นอนาคต โดยเฉพาะกับรัฐบาลของไทยชุดนี้ ที่ไม่รู้ว่าหัวหรือหางอยู่ตรงไหน คนที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี คือ“ภูมิธรรม เวชยชัย” ก็ไม่มีอำนาจที่แท้จริง คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเวลานี้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และขยับก้นไปนั่งคร่อมเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็ไร้สติปัญญาและขาดความรู้ความสามารถ ขณะที่เวียดนาม และสิงคโปร์เพื่อนบ้านประเทศสมาชิกอาเซียนของเรา เขาวิ่งปาดหน้าแซงไทย โดยสามารถเจรจากับสหรัฐฯจนบรรลุข้อตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว
เฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ซึ่งเหนือชั้นกว่าไทยหลายขุม แม้แต่เวลานี้ GDP ไตรมาส 2ของเวียดนามยังขยายตัวพุ่งไปถึง 7.96 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศไทยจากตัวเลขของสภาพัฒน์ที่ได้มีการปรับลดประมาณการใหม่จากการแถลงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากที่ประมาณการไว้ว่าทั้งปี 2568 จะขยายตัว 2.8 เปอร์เซ็นต์ ก็ปรับลดลงมาเหลือ 1.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และที่บอกว่าเวียดนามเหนือชั้นกว่าไทยหลายขุมนั้น ก็เพราะนายโตเลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เดินทางไปเจรจากับประธานาธิปดีทรัมป์ด้วยตนเอง ไม่ใช่ส่งระดับ“สมุน”อย่างไทยที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรเลย ไปประชุมกับแค่ระดับผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ
ผลการเจรจาระหว่างผู้นำเวียดนามและสหรัฐอเมริกาดังกล่าวนั้น “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้แถลงผ่าน “ทรูธโซเชียล”ว่า ได้ทำข้อตกลงการค้ากับเวียดนามได้สำเร็จ หลังพูดคุยกับ“โตเลิม” และว่า ข้อตกลงนี้เป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง 2 ประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่าเวียดนามจะจ่ายภาษีศุลกากร 20เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็คือสหรัฐฯยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม จากที่ประกาศไว้ 46 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 20เปอร์เซ็นต์ ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่เวียดนามขนส่งผ่านประเทศที่ 3 จะต้องจ่าย 40 เปอร์เซ็นต์ และนอกจากนั้น ภายใต้ข้อตกลงนี้ เวียดนามจะเปิดตลาดอย่างเสรีให้แก่สินค้าจากสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯสามารถส่งออกสินค้าไปยังเวียดนามโดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรแต่อย่างใด
หากจะพูดตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร ขุนคลังของไทยที่เป็นมือไม้ของ“นายใหญ่”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้ากล่าวไว้ ก็คือ เวียดนาม“win-winsolution”ไปแล้ว คือสมประโยช์ทั้งสองฝ่าย ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯอเมริกา ส่วนของไทยก็ต้องบอกว่า“no-winsituation” และนายพิชัยก็คงต้องชะเง้อชะแง้รอคอยต่อไปว่า เมื่อใด“ทรัม์ป”จะกวักมือเรียกไป“จูบก้น”
สำหรับมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เปิดหัวเรื่องไว้ในตอนต้นนั้น มีข้อบัญญัติว่า“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทํานั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้” และ“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ในที่นี้ก็หมายถึง เมื่อสส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งที่เป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ประชาชนไม่สามารถพึ่งพาได้ ก็ใช้รัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ผ่าทางตันออกไป คือเสนอชื่อ“นายกฯคนนอก”โดยมติของ สส.และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร นำความขึ้นกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ อันเป็นการใช้พระราชอำนาจแทนปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว ก็ปฏิรูปประเทศกันให้สะเด็ดน้ำจริงๆ จากนั้นก็ค่อยเลือกตั้งกันใหม่
ผมยกมือสนับสนุนให้ใช้มาตรา 5 หนึ่งเสียงครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี