การกำหนดกฎหมายในสังคมหนึ่งๆ นั้น หากพิจารณาตามหลักจะเห็นว่าโดยตัวของกฎหมาย ก็คือการจงใจจำกัดสิทธิใดๆ ของผู้คนในสังคม เพื่อมิให้กระทำการใดๆ ได้ตามต้องการ หรือในอีกมุมหนึ่งก็เพื่อปกป้อง รักษา และส่งเสริมสิทธิประโยชน์ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งตามความเหมาะสมและจำเป็น
แต่ก็ต้องถามกลับว่า แล้วการมีกฎหมายช่วยทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง ทำให้สังคมมีความเป็นปกติสุข หรือเกิดความวุ่นวายโกลาหล หากมีกฎหมายแล้วสังคมเลวลง ก็ต้องยกเลิกกฎหมาย แต่หากกฎหมายดี แต่ทว่ามีคนบางจำพวกต้องการก่อเหตุวุ่นวายแล้วเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมาย แบบนี้ก็ต้องจำกัดสิทธิของคนผู้ที่จงใจก่อความวุ่นวายให้สังคม หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องกำจัดคนคนนั้นให้สิ้นไปจากสังคม โดยใช้กระบวนการทางกฎหมายที่สังคมยอมรับ
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในสังคมแต่และแห่ง มักมีผู้คนที่มีความเห็นต่าง ความคิดต่างกันเสมอ บางคนต้องการในเรื่องหนึ่ง แต่บางคนก็ต้องการอีกเรื่องหนึ่ง ยากที่จะทำให้คนทุกคนมีความเห็นเหมือนๆ กันได้ทั้งสังคม แต่ไม่ว่าจะมีใครเห็นต่างหรือเห็นเหมือน ก็จำเป็นต้องทำให้สังคมเกิดความสงบสุขให้จงได้ แล้วก็ต้องมีบทลงโทษผู้ที่ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวายตามความเหมาะสมตามขั้นตอนที่สมาชิกของสังคมยอมรับได้ เพราะถ้าหากไม่มีบทบังคับใดๆ เพื่อใช้ลงโทษผู้กระทำความวุ่นวายให้สังคมแล้ว สังคมจะบังเกิดความสับสน วุ่นวาย โกลาหล แล้วอาจจะจบลงด้วยเหตุมิคสัญญีกลียุคได้ในที่สุด
สำหรับประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีมาตั้งแต่ดั่งเดิมหลายศตวรรษ และประชาชนส่วนใหญ่ของไทยก็ยอมรับความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายให้ความอารักขา ถวายความปลอดภัย และรักษาพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท
ส่วนข้อเรียกร้องของคนบางกลุ่มที่บอกว่าคนเราทุกคนเท่าเทียมกัน คำอ้างข้อนี้เป็นความจริงเฉพาะในเรื่องสิทธิการเลือกตั้ง และสิทธิการเมืองทั่วไป แต่ในข้อเท็จจริงแล้วข้ออ้างเรื่องความเท่าเทียมในสิทธิการเลือกตั้งก็ไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะคนที่อายุไม่ถึง 18 ปีก็ไม่มีสิทธิเลือกตั้งคนที่ถูกจองจำควบคุมกักขังในคุกก็ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง นักบวชนักพรตก็ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น ใครก็ตามที่อ้างว่าคนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน จึงเป็นการอ้างแบบเลื่อนลอยเพ้อเจ้อ เป็นการอ้างแบบยกเมฆ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่ก็ยังจงใจอ้างในเรื่องโกหกต่อไป สาเหตุที่ต้องอ้างเรื่องโกหกก็เพราะว่ามีเป้าประสงค์สำคัญอยู่ที่การจงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
คนจำพวกนี้อ้างแบบเพ้อเจ้อว่าคนเราทุกคนเท่ากัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสังคมไทยที่คนทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง แน่นอนว่าคนเราเกิดมาเป็นคนเท่ากัน แต่ในการกำเนิดของแต่ละคนก็หาได้เท่าเทียมกันไม่ เพราะบางคนเกิดมาในครอบครัวยากจน บางคนเกิดในครอบครัวร่ำรวย บางคนเกิดมาพิการ บางคนเกิดมามีร่างกายสมบูรณ์ บางคนเกิดมาแล้วมีความสามารถพิเศษมาตั้งแต่เด็กๆ แต่บางคนเกิดมาแล้วไร้ความสามารถมาตั้งแต่กำเนิด ฯลฯ เพราะฉะนั้น ข้ออ้างเรื่องความเท่าเทียมจึงไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ เพราะคนเกิดมารวยไม่จำเป็นต้องมีความเป็นอยู่ทั่วไปเหมือนกับคนจน แล้วคนจนก็คงไม่สามารถดำรงชีวิตตามแบบฉบับของคนร่ำรวยจำพวกมหาเศรษฐีได้ แต่ทุกคนก็ต้องเคารพกันในฐานะคนซึ่งเป็นสมาชิกของสังคม แต่ไม่มีใครทำให้คนทุกคนมีฐานะเสมอเหมือนหรือเท่าเทียมกันได้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น การอ้างว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วเท่าเทียมกัน จึงเป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกที่ตั้งใจล้มเจ้า ล้มล้างสถานบันพระมหากษัตริย์ เพราะคนกลุ่มที่ว่านั้นมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การโค่นทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยกลอุบายสารพัด
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องย้ำเหมือนเดิมว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่ในสังคมไทยมาหลายศตวรรษ ถ้าหากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีคุณูปการต่อสังคมไทย รับรองว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอย่างแน่นอน สังคมไทยไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปี ไม่มีประสบการณ์ในการสร้างความเจริญให้ประเทศชาติ มาสั่งสอนว่าต้องทำอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์
แน่นอนว่าเด็กก็คือเด็ก แต่ก็ใช่ว่าเด็กทุกคนจะเลวทรามต่ำช้าไปเสียทั้งหมด เพราะยังมีเด็กที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคมไทยเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีเด็กจำนวนน้อยที่พยายามสร้างกระแสให้ตัวเองกลายเป็นข่าว ซึ่งสร้างกระแสขึ้นเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ไม่กล้ากระทำเรื่องเลวร้ายด้วยตนเอง จึงต้องใช้การปลุกปั่นยั่วยุและหลอกล่อให้เด็กเมื่อวานซืนลุกขึ้นมากระทำความผิด โดยใช้ลมลวงหลอกเด็กว่า เด็กที่กระทำความผิดเป็นคนทันสมัย หัวก้าวหน้า มีความกล้าหาญ เป็นคนที่ช่วยนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น และอีกสารพัดจะหาคำโกหกใช้หลอกลวงเด็กอยากดัง แล้วเด็กอยากดังก็หลงเชื่อ เพราะว่าในชีวิตจริงของเด็กเหล่านั้น ไม่เคยสร้างคุณประโยชน์ใดๆ ให้สังคมมาก่อนแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่เคยสร้างความภาคภูมิใจในเรื่องบวกให้กับตัวเองและวงศ์ตระกูลมาก่อนเช่นกัน เมื่อในชีวิตจริงของเด็กกลุ่มที่ว่านั้นไม่สามารถหาสิ่งดีๆ ให้ชีวิตตัวเองได้ ก็จึงต้องสร้างปมเขื่องให้ชีวิตของตนเองด้วยการหลงกระทำความผิดตามแรงยุของคนที่ไม่หวังดี
อันที่จริงหากเด็กๆ จะตั้งสติสักเล็กน้อยก็จะทราบได้โดยพลันว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของคนที่จงใจใช้ให้พวกเขากระทำความผิด หากเด็กๆ คิดสักนิดว่า หากคนที่ยั่วยุปลุกปั่นให้เด็กก่อเหตุใดๆ ขึ้น เป็นกลุ่มคนที่มีความกล้าหาญจริงๆ ตามแนวคิดผิดๆ ของเด็ก เหตุใดและทำไมพวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ลงมือกระทำการเอง ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นเกิดมาก่อนเด็ก ทำไมเขาจึงหลอกให้เด็กออกไปทำในสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าทำ แล้วทำไมเขาจึงไม่ใช้ลูกหลานของเขาออกไปก่อเหตุ เหมือนที่เขาหลอกให้เด็กๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของเขาออกไปก่อการ ก่อความวุ่นวายให้สังคม ประเด็นต่อมาที่ต้องถามคือทำไมพ่อแม่ของเด็กๆ ที่ถูกหลอกไปก่อเหตุ ไม่ดูแลไม่อบรมสั่งสอนลูกหลานของตนเอง ทำไมปล่อยให้ลูกหลานถูกหลอกใช้
เด็กก็คือเด็ก เด็กมีความอยากดังอยากเด่น ต้องการให้สังคมรับรู้การมีตัวตนของเด็กๆ ต้องการเป็นคนสำคัญของสังคม เมื่อเด็กสร้างความดังให้ตัวเองด้วยเรื่องดีๆ ไม่ได้ ก็จึงต้องสร้างความดังให้ตัวเองด้วยความเลวร้าย ซึ่งก็น่าเห็นใจเด็ก เพราะว่าเด็กยังขาดวิจารณญาณ ขาดสติขาดปัญญา และขาดประสบการณ์
เคยคิดไหมว่า หากเด็กจะอ้างว่าพ่อแม่สนับสนุนให้ทำเรื่องเลวๆ ร้ายๆ เด็กก็ควรจะถามพ่อแม่ของตนเองก่อนว่า แล้วทำไมพ่อแม่ไม่ทำเรื่องนั้นๆ เสียเอง พ่อแม่เคยทำเรื่องร้ายๆ ที่สนับสนุนให้เด็กทำมาก่อนหรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น เด็กก็จำเป็นต้องถามคนที่ยั่วยุให้เด็กทำเรื่องเลวทรามในทำนองเดียวกันคือ ทำไมพวกผู้ใหญ่ที่ใช้เด็กให้ทำการจึงไม่ทำเรื่องนั้นๆ ด้วยตนเอง ทำไมต้องใช้เด็ก แล้วหากว่าเรื่องที่ผู้ใหญ่บอกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เลวร้ายมานานแล้ว ทำไมผู้ใหญ่จึงทนอยู่ได้ ทำไมผู้ใหญ่จึงไม่จัดการด้วยตัวเอง ทำไมจึงปล่อยไว้ ทำไมต้องรอให้เด็กๆ ลุกขึ้นมาทำ ทำไมผู้ใหญ่จึงทนอยู่ได้หากเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เลวร้ายมานานแล้ว ทำไมจึงทนอยู่ได้ตั้งนาน
คำถามข้างต้นเป็นสิ่งที่เด็กๆ จำเป็นต้องถามผู้ใหญ่ที่หลอกให้เด็กออกไปเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่น่าสมเพชตรงที่เด็กๆ ไม่ถามคำถามเหล่านั้น แต่ดันยอมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่จงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนผู้ที่จงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ที่หลอกใช้เด็กก็นับว่าเลวทรามมาก เนื่องจากหลอกใช้เด็กที่เป็นลูกหลานของคนอื่น โดยไม่ใช้ลูกหลานของตนเอง ต้องบอกว่านี่คือการกระทำของคนที่ไร้ความละอายไร้ความรับผิดชอบต่อเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานของคนอื่น และต้องบอกว่านี่คือการจงใจหลอกให้เด็กไปเผชิญกับความเลวร้ายต่อชีวิตของเด็กเอง
การอ้างว่ากระทำกิจกรรมเพื่อสังคม แต่เนื้อแท้แล้วคือการจงใจโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ข้ออ้างนี้ถูกใช้มาโดยตลอดจากกลุ่มผู้ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ คนกลุ่มนี้จงใจกระทำผิดในแง่มุมต่างๆ ตลอดเวลา โดยอ้างว่าทำไปตามหลักสิทธิเสรีภาพ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วจงใจกระทำความผิดและจงใจก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง และจะเห็นได้ว่าคนที่จงใจกระทำความผิดมักจะอ้างว่าประเทศอื่นสามารถเคลื่อนไหวในเรื่องที่ตนเองเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นการอ้างโดยจงใจโกหก เพราะทุกบ้านทุกเมืองต่างก็มีกฎหมายเฉพาะของตนเอง ไม่มีกฎหมายใดใช้ได้กับทุกประเทศทั่วโลก ย้ำว่ากฎหมายของบ้านเมืองไหนก็ใช้บังคับเฉพาะในบ้านเมืองนั้นๆ เท่านั้น ไม่มีกฎหมายใดใช้บังคับทุกประเทศทั่วโลก
ประเทศไทยมีกฎหมายของตนเอง การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเป็นไปตามหลักการของประเทศไทย ประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยจึงต้องมีกฎหมายเพื่อถวายความคุ้มครองอารักขาและปกป้องพระเกียรติยศของสมาชิกในสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นไม่ต้องอ้างว่ากฎหมายไทยเรื่องปกป้องคุ้มครองพระมหากษัตริย์ต่างจากประเทศอื่นๆ ซึ่งมันจำเป็นต้องต่าง เพราะนี่คือประเทศไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยก็ไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศอื่นๆ คนไทยรู้ดีว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินไทยและพระมหากษัตริย์ไทยทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประเทศไทย เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจที่คนไทยยังต้องการธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้สืบไป แล้วก็ไม่ลังเลที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับใครก็ตามที่มีพฤติกรรมทำลายล้างโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสังคมไทยไม่ยินยอมให้ล้มล้างมาตรา 112 ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่ามาตราดังกล่าวไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อคนที่ไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี