การเป็นราชอาณาจักร กับการเป็นประชาธิปไตยนั้น อาจเป็นคนละเรื่องกัน แต่ก็สามารถเดินหน้าควบคู่กันไปได้ โดยประเทศที่เป็นราชอาณาจักร และมีประชาธิปไตยสากลสมบูรณ์ ก็คือ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สเปน เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ลักเซมเบิร์ก ลิกเตนสไตน์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และภูฏาน
ส่วนประเทศที่เป็นราชอาณาจักรแต่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย หรือในอีกชื่อว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือ กษัตริย์เป็นทั้งองค์ประมุขและผู้บริหารหรือปกครองประเทศสูงสุด ได้แก่ บรูไน โอมาน ซาอุดีอาระเบีย คูเวต ยูไนเต็ด สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน กาตาร์ จอร์แดน และโมร็อกโก
สำหรับประเทศไทยของเรานั้น เรานั้นมองตนเองว่า ไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข หรือนัยหนึ่งเราเรียกตัวเองว่า เป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งในและนอกประเทศว่า ความเป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตยของไทยนั้นยังไม่สมบูรณ์ หรือยังไม่มีความเป็นสากลเยี่ยงราชอาณาจักรอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้การบอกกล่าว และการเข้าใจกันเองว่า ประเทศไทยเรามีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขนั้น จัดได้ว่ามีการอุปมาอุปไมย หรือพูดจากล่าวขวัญกันขึ้นมาเอง แล้วมาระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยการระบุดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ และการจัดให้มีการขีดเขียนยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ หรือในบางกรณี อาจจะมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติเพื่อยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือการจัดตั้งสภายกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญที่อ้างว่า ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วม เพราะมีการจัดการให้มีการแสดงความคิดเห็น หรือการเปิดโอกาสให้มีการเลือกบุคคลจากบางสาขาอาชีพ หรือผู้ทรงคุณวุฒิให้เข้าไปทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเมื่อแล้วเสร็จ ก็จัดให้มีการลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบ เพื่อสร้างความชอบธรรม แต่ในที่สุดประเทศไทยเราก็มักจะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดโครงสร้าง สาระเนื้อหา ของความเป็นรัฐชาติ ที่มักจะสะท้อนความประสงค์กลุ่มอำนาจ หรือสะท้อนแค่กระแสความคิดอ่านของผู้คนส่วนหนึ่งในกาลเวลานั้นๆ
ซึ่งโดยรวมแล้ว ประเทศไทยเราไม่เคยมีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย อภิปราย ปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังและลึกซึ้ง ในการกำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตย ที่มีความเป็นสากลสมบูรณ์แบบกันสักที
ประเทศไทยเราได้เพียรพยายามคิดค้น และทดลองเกี่ยวกับการสถาปนาความเป็นราชอาณาจักรไทยประชาธิปไตยมาร่วม 91 ปีแล้ว แต่ก็เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่งผลให้ราชอาณาจักรไทยยังไม่สามารถก้าวไปเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ และก็คงจะยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง
แต่เมื่อมีการเห็นพ้องต้องกันอย่างกว้างขวางว่า ราชอาณาจักรไทยจะต้องเป็นประชาธิปไตยให้ได้ด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่สังคมไทยทุกหมู่เหล่า จะได้มาร่วมคิดร่วมทำเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์และเข้าอกเข้าใจกันและยอมรับกันอย่างกว้างขวางลึกซึ้งว่า ปวงชนชาวไทยทั้งหมดมีความเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและสาระเนื้อหาของการเป็นราชอาณาจักรประชาธิปไตยของรัฐชาติไทยอย่างไร
แล้วเราจะเริ่มต้นกันอย่างไร ที่ไหน ก็คงจะมีจุดเริ่มต้นอยู่ 5 จุดด้วยกันคือ
1.ที่รัฐสภา
2.ที่พรรคการเมือง
3.ที่สถาบันพระปกเกล้า
4.ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
5.ที่แวดวงวิชาการ เป็นต้น
การปรึกษาหารืออย่างกว้างขวางนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องรอการจัดตั้งสภายกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ เราสามารถทำได้ทันทีเพื่อที่จะได้นำข้อสรุป ข้อคิดเห็นไปมอบให้สภายกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญข้อใด ทั้งนี้การศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรประชาธิปไตยต่างๆ ดังกล่าว ว่าเขาควรมีหลักคิด หลักปฏิบัติที่ดีอย่างไร และมีประเด็นปัญหาใดที่ควรพึงระวัง
ทุกราชอาณาจักรก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ได้นำมาปรับใช้ต่อเนื่องกันในราชอาณาจักรประชาธิปไตยได้ เป็นการสะท้อนการผสมผสานระหว่างขนบธรรมเนียมประเพณี กับหลักคิดหลักปฏิบัติตามครรลองประชาธิปไตยได้ มิใช่เรื่องที่ขัดกันแต่อย่างใด
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี