เป็นข่าวใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อสำนักงาน อสส.แจ้งข่าวว่า อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าสัวธรรมกาย ในข้อหาฟอกเงิน
1.อสส.สั่งฟ้องตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสํานักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า
ตามที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสํานวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 57/2562 คดีระหว่าง สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ผู้กล่าวหา นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน (คดีสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น) พร้อมความเห็นแย้งคําสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34
คดีนี้ อัยการสูงสุด ได้พิจารณาแล้วมีคําสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา ในฐานสมคบ โดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทําความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุได้มีการสมคบกัน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 9, 60พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
นายประยุทธ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สํานวนคดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบดําเนินคดีของ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 โดยพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดําเนินคดีได้นัดหมายนายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ต้องหา มาพบพนักงานอัยการที่สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สํานักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนรัชดาภิเษก เพื่อส่งฟ้องศาลในวันที่ 2 เมษายน 2567 เวลา 09.30 น.
2. ช่วงที่เกิดคดีนี้ อยู่ในบริบทความสัมพันธ์ลึกซึ้งแยบยล ระหว่างพระธัมมชโย นายอนันต์ อัศวโภคิน และนายศุภชัย ศรีศุภอักษร
พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือผู้นำสูงสุดของมหาอาณาจักรธรรมกาย ปัจจุบัน ยังหลบหนีหมายจับคดีฟอกเงินและรับของโจร คาดว่าคดีน่าจะหมดอายุความในปีนี้
นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น (ปัจจุบัน นายศุภชัยยังติดคุกอยู่) มีพฤติการณ์ทุจริตโกงเงินสหกรณ์คลองจั่น ผ่องถ่ายจ่ายออกไปหลายเส้นทางดีเอสไอสอบสวนขยายผลเส้นทางเงินเช็ค 878 ฉบับที่นายศุภชัยผ่องถ่ายไปให้กับคน 6 กลุ่ม ส่วนหนึ่งก็คือเครือข่ายธรรมกาย ทั้งวัดธรรมกาย พระธัมมชโย มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และอดีตพระลูกวัด เกิดเป็นคดีความตามมา ทั้งคดีฟอกเงินและคดีอื่นๆ มีการติดตามยึดอายัดทรัพย์สินกลับมาคืนผู้เสียหาย ปปง.ยึดอายัดทรัพย์ไว้หลายรายการ เมื่อนำไปฟ้องศาลแพ่ง เพื่อให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน หรือคืนแก่สหกรณ์คลองจั่นแล้วแต่กรณี ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้คืนทรัพย์สิน หรือชดใช้เงินแก่สหกรณ์คลองจั่นฯทุกคดี (บางคดียังไม่ถึงที่สุด)
ไม่ว่าจะเป็น กรณีเงินในบัญชีเงินฝากชื่อวัดและมูลนิธิเครือธรรมกาย 58 ล้าน, กรณีอาคารที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่, กรณีที่ดินและอาคารบุญรักษา (พันกับลูกสาวเจ้าสัวธรรมกาย), อาคารลูกโลก, อาคารมหารัตนวิหารคต, ที่ดินใกล้ๆวัดพระธรรมกายอีกหลายแปลง ฯลฯ
ส่วนนายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสัวธรรมกาย เพราะเป็นศิษย์พระธัมมชโยคนสำคัญ ทำหน้าที่ดูแลโครงการก่อสร้างทั้งหลายในมหาอาณาจักรธรรมกาย ตั้งแต่สมัยก่อสร้างพระมหาธรรมกายเจดีย์ ทั้งเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน และยังเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินให้กับธรรมกายโดยกล่าวถึงขนาดเคยกล่าวว่า “ปิดบัญชี” เพื่อทำบุญถวายหลวงพ่อ “ไม่เม้ม” ฯลฯ
3. คดีฟอกเงินเจ้าสัวธรรมกาย
คดีนี้ ที่มาที่ไป ตลอดจนเบื้องลึกปูมหลัง เป็นอย่างไร?
คดีนี้ ดีเอสไอสรุปสำนวนส่งฟ้องไปให้อัยการ จากนั้น อัยการคดีพิเศษมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
หลังจากนั้น พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอขณะนั้น (ปี 2562) ได้ลงนามในหนังสือถึงนายวงศ์สกุลกิตติพรหมวงศ์ อสส. เพื่อทำความเห็นแย้ง ขอให้สั่งฟ้องนายอนันต์ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าหลักฐานเส้นทางการเงินที่ได้รับจาก ปปง.มีความชัดเจน เพียงพอแล้ว
เรื่องค้างเติ่งมานานเกือบ 5 ปี
กระทั่งล่าสุด อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายอำนาจ เจตเจริญรักษ์ ได้มีคำสั่งฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน
สืบเนื่องจากว่า นายศุภชัยโกงเงินสหกรณ์คลองจั่นนำไปซื้อหุ้นเอ็มโฮมฯและที่ดิน จากนั้นเอ็มโฮมฯ ทำสัญญาขายที่ดิน 46 ไร่ ให้นายอนันต์ ในราคา 93 ล้านบาท (ต่ำกว่าราคาตลาด) หลังจากนั้น นายอนันต์ทำสัญญาขายที่ดินแปลงเดิมต่อให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในราคา 492 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับที่ซื้อมาแค่ 93 ล้าน จะเห็นว่ามีส่วนต่างจำนวนมาก
จากนั้น ได้นำเงินส่วนใหญ่ที่ได้มา 303 ล้านบาท บริจาคเข้ามูลนิธิฯ ในเครือมหาอาณาจักรธรรมกาย นำไปใช้ในโครงการก่อสร้างต่อไป
โดยปรากฏข้อพิธุธเกี่ยวกับการซื้อขายถ่ายโอนที่ดินแปลงนี้ เพราะปรากฏหนังสือแสดงเจตนาถวายที่ดินแปลงนี้ให้กับพระธัมมชโยด้วย
สำหรับรายละเอียดเส้นทางการเงินในคดีนี้ ปรากฏตามคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นผลจากการตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของนายศุภชัย ที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และนำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินจำนวน 3 แปลง โฉนดที่ดินเลขที่ 31343 ,31344 และ 31345 ตั้งอยู่ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่รวม 312 ไร่ 1 งาน 17.6 ตารางวา และหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยวิธีการสั่งจ่ายเช็คจำนวน 11 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 321,400,000 บาท
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีของนายอนันต์นั้น ปปง. ระบุในคำสั่งอายัดทรัพย์ว่า ภายหลังจากบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ได้รับเงินลงทุนของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร กับพวกแล้ว บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 31344 ให้กับนายอนันต์ อัศวโภคิน ที่ดินเนื้อที่ 46-3-56.2 ไร่ ราคาไร่ละ 2,000,000 บาทเป็นเงิน 93,781,000 บาท
จากนั้น ได้ปรากฏว่ามีการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาถวายที่ดินของนายศุภชัย ให้กับพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) เป็นการส่วนตัว โดยมีนายอนันต์ อัศวโภคิน ลงลายมือชื่อ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนพระเทพญาณมหามุนี และมีพยานลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าว เว้นแต่นายศุภชัย ไม่ได้ลงลายมือชื่อ
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2558 นายอนันต์ ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บริษัทไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด ในราคา 492,350,250 บาท และได้รับเงินที่เหลือจากการขายที่ดินจำนวน 468,731,250 บาท นำไปชำระหนี้ให้บริษัท เอ็ม-โฮมเอสพีวี 2 จำกัด และหนี้อื่นบางส่วน โดยนำเงินส่วนใหญ่จำนวน 303,000,000 บาท ไปบริจาคให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เพื่อนำไปก่อสร้างอาคาร บุญรักษา...
ขณะนี้ นายอนันต์และผู้เกี่ยวข้อง ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังไม่ถูกพิพากษาความผิด และไม่ปรากฏพฤติการณ์หลบหนีแต่อย่างใด ยังมีสิทธิต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
4. คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
เมื่อคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอสรุปสำนวนมีความเห็นฟ้องนายอนันต์ ในคดีฟอกเงิน (คณะพนักงานสอบสวนในขณะนั้นมีตัวแทนอัยการร่วมทำงานอยู่ด้วย)
ปรากฏว่า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษขณะนั้นก็คือ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์
รองอธิบดีมีคำสั่งไม่ฟ้อง
ต่อมา นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ขยับจากอธิบดีอัยการคดีพิเศษ (ดำรงตำแหน่งนี้อยู่นานหลายปี เคยดูแลคดีเกี่ยวกับนักการเมือง แกนนำชุมนุมการเมืองหลายคดี) ขึ้นเป็นอัยการสูงสุด โดยเป็นอัยการสูงสุดคนแรกที่มาจากอธิบดีอัยการ ไม่ผ่านตำแหน่งผู้ตรวจการอัยการและรองอัยการสูงสุด เนื่องจากอัยการท่านอื่นที่มีอาวุโสกว่าล้วนพ้นตำแหน่ง เพราะอายุครบ 65 ปีไปทั้งหมด
อธิบดีดีเอสไอทำความเห็นแย้ง โดยยืนยันสั่งฟ้องส่งให้อัยการสูงสุด เมื่อ 29 พ.ย. 2562
ผ่านมาเกือบ 5 ปี จนถึงอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน นายอำนาจ เจตเจริญรักษ์ ได้มีคำสั่งฟ้อง ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ขอชื่นชมในการทำหน้าที่ตรงไปตรงมาของท่าน อสส. คนปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ อสส.เพิ่งจะสั่งฟ้องกราวรูด ทั้งอดีตนายตำรวจใหญ่ ทั้งอดีตรองอัยการสูงสุด คดีช่วยเหลือบอส กรณีขับรถชนตำรวจตาย
ขอให้กำลังใจท่าน อสส.ทำหน้าที่ กอบกู้ศักดิ์ศรีสถาบันอัยการ “ทนายแผ่นดิน” หลังจากก่อนหน้านี้ มีข้อครหาหลายคดี อัยการสั่งไม่ฟ้อง-สั่งไม่อุทธรณ์ คดีจบแบบกังขา เข้าทางประโยชน์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มีอำนาจและเงินตราหลายคดี
กรณีเกี่ยวกับมหาอาณาจักรธรรมกาย ก็ยังมีอีกหลายคดี อาทิ
กรณีที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอส่งคำร้องถึงสำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณายื่นคำร้องขอเลิกมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 131(2) และขอให้ศาลพิจารณาเลิกมูลนิธิฯ ให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 134 เนื่องจากสอบสวนพบพฤติการณ์ฟอกเงิน ขณะนี้ คดีนี้ก็ยังไปไม่ถึงศาล ทั้งๆ ที่ มีคดีแพ่งเกี่ยวกับเครือข่ายธรรมกายหลายคดีก่อนหน้านี้ ที่ศาลพิพากษายึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน เพราะพฤติการณ์เข้าข่ายฟอกเงิน อาทิ ศาลแพ่งพิพากษาให้เงินในบัญชีธนาคารตกเป็นของสหกรณ์ฯคลองจั่นแล้ว (คดียังไม่ถึงที่สุด)เงินฝาก 58 ล้านบาท ใน 4 บัญชีเงินฝาก, คดีแพ่งยึดทรัพย์อาคารเวิดล์พีซ วัลเล่ย์ เขาใหญ่, คดีแพ่งที่ดินบุญรักษาและอาคารบุญรักษา เป็นต้น
ปรากฏว่า ดีเอสไอได้ส่งคำร้องไปที่อัยการภาค 1 แล้ว แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าจนถึงปัจจุบัน
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี