วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ว่า ค่าเงินริงกิตมาเลเซียตกต่ำที่สุดในรอบยี่สิบห้าปีที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า ส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการส่งออก และส่วนหนึ่งมาจากธนาคารมาเลเซียชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย มาตั้งแต่เดือน ก.ค. ปี 2566 ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าปรากฏการณ์ริงกิตดำดิ่ง จะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล แต่นายอันวาร์ไม่ยี่หระกล่าวว่า เขายังมั่นใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเลเซียยั่งยืนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
นายอันวาร์ แสดงความมั่นใจการเติบโตยั่งยืนของเศรษฐกิจมาเลเซีย ถึงแม้ค่าเงินริงกิต ตกต่ำที่สุดในรอบยี่สิบห้าปี ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากธนาคารกลางมาเลเซียชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งสวนทางกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังของประเทศไทย ที่โวยวายว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทย ยืนกรานไม่ชะลอดอกเบี้ยนโยบาย อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะเลวร้าย กลายเป็นหายนะจากวิกฤตเศรษฐกิจตามความเชื่อของพรรคเพื่อไทย
มีเหตุปัจจัยอะไรทำให้นายกรัฐมนตรีสองประเทศเพื่อนบ้าน มีมุมมองเศรษฐกิจแตกต่างอันเนื่องมาจากดอกเบี้ยนโยบายราวกับหน้ามือกับหลังเท้า บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่าลงเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ อีก 0.5% อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 4.7703 ริงกิตต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นระดับอ่อนค่าหนักที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ค่าเงินทั่วเอเชียในปี 2541 บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า ค่าเงินริงกิตตกต่ำส่วนหนึ่งมาจากผลประกอบการส่งออกและการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ตัวเลขการส่งออกของมาเลเซียปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 7 เดือน และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจีน ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย ที่ประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง
ในขณะที่ธนาคารกลางของมาเลเซียก็ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยรอบใหม่ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา #ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งยิ่งเป็นผลลบต่อค่าเงินริงกิต เนื่องจากทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของมาเลเซียกับดอกเบี้ยสหรัฐห่างกันมากที่สุด ทุบสถิติจึงทำให้การลงทุนในตลาดมาเลเซีย มีความน่าดึงดูดน้อยลง
แต่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไม่หวั่นไหวเรื่องค่าเงินริงกิตตกต่ำที่มีผลกระทบมาถึงประเทศไทยที่ 1 ริงกิต แลกเป็นเงินไทยได้เพียง 7.59 บาท จากเคยสูงถึง 10-12 บาท ต่อ 1 ริงกิต เป็นเหตุให้ชาวมาเลเซีย ที่เคยข้ามชายแดนมาท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยในจังหวัดสงขลา นราธิวาสและจังหวัดอื่นๆ ลดจากวันละสองสามพันคนเหลือเพียงสองสามร้อยคนต่อสัปดาห์ และร้านค้าในจังหวัดภาคใต้ของไทยไม่เต็มใจรับเงินริงกิตเหมือนก่อน
มีคำถามว่า “กังวลเรื่องค่าเงินริงกิตตกต่ำที่สุดในรอบยี่สิบห้าปีไหม?” นายอันวาร์ ตอบอย่างมั่นใจว่า “ก็กังวลอยู่แต่หากมองในภาพรวม เรามีการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เงินเฟ้อก็ต่ำลงตามลำดับ อัตราการว่างงานก็ต่ำลง การเติบโตเศรษฐกิจมาเลเซียยั่งยืนหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน..” นายอันวาร์ กล่าว และสาธยายต่อไปว่า..“ผมคิดว่า เราควรมองภาพกว้างและศักยภาพในการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งสำคัญคือสร้างความมั่นใจใหม่ในตัวเลขการลงทุน” นายอันวาร์กล่าวกับสื่อมวลชนหลังจากพิธีเปิด Tun Razak Exchange เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์
สำนักข่าว CNA รายงานว่าค่าเงินต่ำลงไปอาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมืองของอันวาร์ แต่นักวิเคราะห์อีกท่านกล่าวว่า สมมุติฐานนั้นดูเหมือนว่าไม่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมืองของนายอันวาร์ที่มีเสียงข้างมากในสภาได้
นายอันวาร์กล่าวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ว่า หากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เพราะริงกิตตกต่ำ ประเทศมาเลเซีย คงไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 329.5 พันล้านริงกิต (68.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อปี 2565 ซึ่งการลงทุนสูงขึ้น 23% จาก ปี 2564 นี้คือสิ่งที่เราต้องใส่ใจว่าอะไรสามารถทำให้สำเร็จได้และอะไรจำเป็นต้องทำในพื้นฐานการทำงานวันต่อวัน นายอันวาร์กล่าวด้วยว่า..“เราติดตามดูสถานการณ์ทุกวัน รวมทั้งค่าครองชีพและผลกระทบต่อประชาชน #ทำไมเรามองแต่ประเด็นริงกิต และเปรียบเทียบกับปี 2541? ปี 2541 ค่าเงินริงกิตดิ่งลง การลงทุนต่ำลงและเงินเฟ้อสูงขึ้น มันไม่เหมือนกัน (กับวันนี้)” นายอันวาร์ กล่าว
ทั้งหมดคือ ท่าทีนายอันวาร์ที่แสดงออกถึงการพยายามสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ซึ่งแตกต่างจากการโวยวายของนายเศรษฐาที่ราวกับว่าประเทศไทยจะหายนะ หากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่นายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยมองว่าดอกเบี้ย 2.5% สูงเกินไปทำให้การลงทุนและการจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งยืนยันตลอดมาว่าเศรษฐกิจไม่อยู่ภาวะวิกฤตเพียงแต่การเติบโตชะลอตัวช้าเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ถูกรัฐบาลเพื่อไทย กดดันให้ลดดอกเบี้ย ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว Nikkei Asia ย้ำเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต ที่สำคัญบอกชัดไม่ลดดอกเบี้ย“ผมคิดว่าหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ใช่ส่วนเล็กๆ เลยเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับต่ำมากเป็นเวลานานมันกระตุ้นให้คนกู้ยืม และผมคิดว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง จะส่งสัญญาณที่ผิด ในแง่การพยายามจัดการให้หนี้ครัวเรือนมีความยั่งยืนมากขึ้น”
ก่อนตบท้ายฝากถึงรัฐบาล “มีความตึงเครียดเชิงสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลและธนาคารกลางเสมอ เพราะเราสวมหมวกที่แตกต่างกัน ไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งสองจะทำงานร่วมกันไม่ได้ คุณเพียงแค่ต้องเข้าใจว่าเรามีบทบาทที่แตกต่างกันในการปฏิบัติตามกฎหมาย การลดดอกเบี้ยไม่ทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากขึ้น ไม่ทำให้จีนซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเรามากขึ้น ไม่ทำให้เบิกงบพัฒนาเร็วขึ้น..”
นายเศรษฐาเดือดเป็นฟืนเป็นไฟจากคำสัมภาษณ์ของผู้ว่าฯธปท.สวนกลับว่า “เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ และที่ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุมา 3 ข้อนั้น ไม่มีเรื่องประชาชนเลย ผมอยากให้ผู้ว่าฯ ธปท. กลับไปคิดว่า วันนี้ที่ประชาชนเดือดร้อนเราช่วยกันได้ ซึ่งก็คงต้องพูดคุยกันต่อไป
“ผมเรียกร้องไป และยืนยันว่ามีเหตุและผล ส่วนที่บอกว่าสามข้อเศรษฐกิจไทยไปไม่ได้ เรื่องของปิโตรเลียม เรื่องนักท่องเที่ยวจีน และเรื่องจับจ่ายใช้สอยที่งบประมาณยังไม่ลงมารวดเร็ว เรื่องเหล่านี้ผมเชื่อว่ามีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ให้จีนนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น ให้นักท่องเที่ยวจีนมาจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น ส่วนเรื่องค่าเดินทางแพงก็กำลังทำให้ค่าเดินทางถูกลง ทำให้มีเงินในกระเป๋าเยอะขึ้น จับจ่ายใช้สอยเพิ่ม”
นายเศรษฐา ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังไม่เข้าใจสิ่งที่ ผู้ว่าฯปธท.กล่าวว่าดอกเบี้ยต่ำมันสัมพันธ์กับหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นอย่างไร คนสร้างบ้านจัดสรรขายเข้าใจ แต่เพียงว่าดอกเบี้ยต่ำ ทำให้คนกู้เงินมาดาวน์บ้านจัดสรรมากขึ้น นายเศรษฐาไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจว่า การเบิกใช้งบประมาณที่ล่าช้านั้นมันสัมพันธ์กับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร? หรือนายเศรษฐาพยายามทำให้เห็นว่า เศรษฐกิจวิกฤตเพื่อสร้างความชอบธรรมในการนำนโยบาย “ดิจิทัลมันนี่” มาใช้ในทางปฏิบัติ
จึงอนุมานได้ว่านายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความมั่นใจในการเติบโตยั่งยืนของเศรษฐกิจ เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจว่าเศรษฐกิจมาเลเซียยังไปได้ ถึงแม้ว่าค่าเงินริงกิตตกต่ำที่สุดในรอบยี่สิบห้าปีก็ตาม ส่วนนายกรัฐมนตรีไทย พยายามทำทุกวิถีทางทำให้คนทั่วไปเห็นว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤตเพื่อสร้างความชอบธรรมในการนำนโยบาย “ดิจิทัลมันนี่” มาใช้ในทางปฏิบัติ พรรคเพื่อไทยซึ่งทำสัญญาประชาคมไว้ตอนหาเสียงว่า จะแจกเงินดิจิทัลชาวบ้านคนละ 10,000 บาทให้คนไทยกว่า 50 ล้านคน ซึ่งต้องใช้เงินกว่าห้าแสนล้านบาท และเมื่อนโยบายดิจิทัลมันนี่ เจอปัญหาไม่มีทีท่าว่า จะเดินหน้าต่อไปได้ นายเศรษฐาจึงพยายามรักษาหน้าพรรคเพื่อไทยโดยการโวยวายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกลายเป็น แพะรับบาป
กล่าวโดยสรุปคือนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซียพยายามทำทุกทางเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ด้าน เศรษฐา ทวีสิน ก็สู้หัวชนฝาเพื่อรักษาหน้าและฐานเสียงให้พรรคเพื่อไทย โดยไม่สนใจว่าผลที่ตามมาจะสร้างหนี้ให้กับประเทศไทยอีกหลายแสนล้านบาทหรือไม่
สุทิน วรรณบวร

ด่วน!ประกาศ‘เคอร์ฟิว’ 5 อำเภอ‘ตราด’ หลัง‘บก ฉก.นย.’ถูก M79 ยิงถล่ม พบพิกัดจากในประเทศ
พบโดรนปริศนาบินว่อนทั่วเมืองตราด ไทย-เขมรปะทะเดือดกลางดึก แนวรบบ้านชำราก
‘ทภ.2’รายงานแนวรบชายแดนไทย-กัมพูชายังตึงเครียด ‘ศึกตาควาย’ยังไม่จบ ต้องรบต่อ
เจอจะๆหลักฐานมัด‘กัมพูชา’ พบขุดคูเลต-สร้างบังเกอร์-ฐานยิงปืนใหญ่รอบ‘ปราสาทคนา’
‘นิพิฏฐ์’เสียดาย‘สส.พัทลุง’ทิ้ง‘ปชป.’ ย้อนอดีตเป็นผู้ตัดสายสะดือ วันนี้ยืนอย่างเดียวดาย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี