แผ่นดินไทยร้อนระอุจากเหตุ “ชาวต่างชาติ” เข้ามาก่อเหตุใน 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ ฝรั่งเตะผู้หญิงที่ภูเก็ต กับกะเทยไทยตบกะเทยผินที่สุขุมวิท 11 ทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยของเรา “หละหลวม” ในการตรวจสอบบุคคลต่างด้าว ที่เข้ามาในประเทศไทย ครั้นมาสร้างเรื่อง “การตรวจสอบแบบถี่ถ้วน” จึงค่อยๆ บังเกิดตามมา
1) จากกรณีการรวมตัวกันของกลุ่ม LGBTQ+ จำนวนมากที่เรียกตัวเองว่า “กะเทยไทย” ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 11/1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. อ้างว่าเป็นการรวมตัวเพื่อรอปะทะกับ กะเทยผิน หรือ กะเทยชาวฟิลิปปินส์ หลังกลุ่มกะเทยชาวฟิลิปปินส์กว่า 20 คน ได้รุมทำร้ายกะเทยไทยจนได้รับบาดเจ็บ แล้วได้นำคลิปวีดีโอไปโพสต์ลงในกลุ่มต่างๆ และโพสต์ไปยังประเทศฟิลิปปินส์ ในลักษณะเยาะเย้ยถากถาง จนทำให้กะเทยไทยที่เห็นคลิปดังกล่าว ทนไม่ไหวและออกมารวมตัวกันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้ามาตรวจสอบ และระงับเหตุจนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายพร้อมได้เชิญผู้เสียหายและผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเพื่อดำเนินการทางคดีที่ สน.ลุมพินี
2) ล่าสุด พล.ต.ต.วิทวัส ชินคำ ผบก.น.5 เปิดเผยหลังสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่ายว่า ขณะนี้ประสานตำรวจท่องเที่ยวและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจสอบกะเทยชาวฟิลิปปินส์ว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ เบื้องต้น กลุ่มกะเทยชาวฟิลิปปินส์เข้ามาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเข้ามาพักที่โรงแรมที่เกิดเหตุเป็นหลัก โดยเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน ดังนั้นจะให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบทั้งหมดว่าเข้ามาถูกต้องหรือไม่ อยู่อย่างถูกต้องหรือไม่ และทำงานอย่างถูกต้องหรือไม่
ส่วนสาเหตุนั้นเป็นการเขม่นเมื่อเจอกัน อาจเพราะเชื้อชาติที่ต่างกัน ความเห็นต่างกัน และเหตุดังกล่าวเคยมีการพยายามเจรจาเคลียร์กันไปแล้วหลายครั้ง และก็แยกย้ายกันไป แต่ต่อมามีการโพสต์ลงโซเชียล อีกครั้งทำให้มีการรวมตัวกันขึ้นตามคลิปที่มีเหตุชุลมุน
ทั้งนี้ มีการแจ้งความไว้ทั้ง 2 ฝ่าย และส่งผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ดังนั้นตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด แต่เบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งข้อหาทั้ง 2 ฝ่าย และต้องตรวจสอบเพิ่มเติม โดยเฉพาะตรวจสอบกล้องวงจรปิด และ Body Camera ของตำรวจ เพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ก่อเหตุทั้งสองฝ่ายให้ได้มากที่สุด
ส่วนของกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ จะต้องพิสูจน์ทราบตัวบุคคลให้ได้ทั้งหมดก่อน จึงจะทราบว่ามีบุคคลใดที่หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วบ้าง และหากคู่กรณีออกนอกประเทศไป ก็มีขั้นตอนดำเนินการอยู่แล้ว ขอให้มั่นใจการทำงานของตำรวจ
เมื่อสอบถามมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์หรือไม่ พล.ต.ต.วิทวัส กล่าวว่า จะขอตรวจสอบก่อน รวมถึงจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่โรงแรมที่เกิดเหตุด้วย
3) “ตุ้ม” ปริญญา เจริญผล นักมวยไทย ที่เป็นหญิงข้ามเพศคนหนึ่ง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์นี้ว่า “ฉันละอยากจะฝากแม่ไม้มวยไทยให้กลับไปฟิลิปปินส์ แล้วจะรู้ว่ากะเทยไทยของแท้ ที่นี่ประเทศไทย กะเทยไทย มวยไทย ลูกๆ เข้าค่ายแม่ด่วนๆ แม่จะสอนมวยให้”
4) เฟซบุ๊กของ “แพรรี่” ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้โพสต์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ระบุว่า “ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงค่ะ แต่ 20 รุม 2 มันก็ไม่ได้ไหมล่ะ อย่าล้อเล่นกับระบบกะเทยไทยนะคะ ต้องให้เกียรติกันค่ะ แล้วสังคมจะน่าอยู่ จบ” และโพสต์เพิ่มเติมว่า “สยามเมืองยิ้ม =
เข้ามาอยู่แล้วควรทำตัวให้น่ารักนะคะ ไม่ใช่ทำตัวกร่าง ตั้งแต่ฝรั่งภูเก็ตถึงกะเทยฟิลิปปินส์ นี่คือบทเรียน จบ”
5) เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ โพสต์ข้อความกรณีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มกะเทยไทย รวมตัวกันไม่พอใจที่กะเทยผิน หรือกะเทยฟิลิปปินส์ ทำร้ายร่างกายและดูหมิ่นเหยียดหยาม ระบุว่า
“แว้บแรกอาจจะอ่านดูแล้วขำๆ กะเทยไทยยกทัพรุมตบกะเทยปินส์ หลังถูกกะเทยปินส์หยามก่อนที่พาพวกรุมตบกะเทยไทย แต่ถ้าเราอ่านอย่างมีวุฒิภาวะ เหตุการณ์ก็เกินขอบเขตไปมาก เหมือนกรณีชาวภูเก็ตยกพวกไล่ฝรั่งสวิส ทั้งสองกรณี มีการโหมไฟแห่งชาตินิยม เราเป็นไทยต้องไม่ให้ต่างชาติมาย่ำยี แม้ว่าความจริง ทั้งสองกรณีสามารถใช้มาตรการทางด้านกฎหมายแก้ไขได้โดยไม่ต้องมีใครเจ็บตัวอีก เอาละค่ะ คำแนะนำของดิชั้นอาจเป็นคำแนะนำแบบนางงาม แต่จากการสอนหนังสือเรื่องชาตินิยมมาหลายปีถ้าไฟชาตินิยมมันถูกจุดแล้ว ดับยาก แล้วจะพังทุกฝ่าย นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านในอาเซียน เราต้องรักกันไม่ใช่หรอ แล้วไอ้ความพยายามสร้างอัตลักษณ์ภูมิภาคร่วมกันหละ หรือวันนี้ ถูกกองทัพกะเทยไทยบดขยี้หมดแล้ว??”
6) ต้องกล่าวว่า เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับปวิน ชัชวาลย์ พงศ์พันธ์ ที่ว่า เรายังไม่ได้ใช้กระบวนการทางกฎหมายอย่างเต็มที่กับคู่กรณี ไม่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ชิงทรัพย์ ข่มขู่ ประจาน ทั้งหมดอยู่ในข่ายคดีอาญาทั้งสิ้น เราปลุกคำว่า “ศักดิ์ศรี” ขึ้นมา แล้วสร้างกระบวนการเห็นพ้องในการ “กอบกู้ศักดิ์ศรี” ด้วยวิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ที่ผมเข้าใจ แต่ไม่อาจถอดมงกุฎเพื่อบอกว่า ดีแล้ว ถูกแล้ว ฉันเชียร์นะ ฉันจะเชียร์ก็ต่อเมื่อ ได้ผ่านการใช้กระบวนการทางกฎหมายแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับ หรืออืดอาด ยืดยาด ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าเป็นเช่นนั้น ควรนัดรวมกันที่หน้าสถานีตำรวจ แล้วเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมายแทน เหตุที่เกิดนี้สะใจ สมใจไทย แต่ถ้ามองให้ชัดๆ จะพบว่า เราข้ามขั้นตอนทางกฎหมาย ไปใช้ขั้นตอนทางกำลัง ทำให้เราที่ควรจะเป็นฝ่ายถูก 100% ก็มีมลทิน แต่เอาล่ะ บัดนี้ เรื่องก็เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายและอยู่ในพื้นที่ข่าวอย่างครึกโครมแล้ว
7) เหตุการณ์ “ฝรั่งเตะหมอ” ที่ จ.ภูเก็ต นั้น มีเรื่องน่าคิดหลายอย่าง...
7.1. การบันดาลโทสะของฝรั่งเดวิด สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสันดาน, การเหยียดคนพื้นเมือง,ถ้อยคำหยาบคาย, รวยแล้วทำอะไรก็ได้, ถือสิทธิความเป็นเจ้าของสถานที่ ฯลฯ ล้วนทำให้นายคนนี้ don’t care. เราทุกคนควรระวังปัจจัยที่จะนำเราไปสู่ภาวะ “กูไม่สน” แบบนี้ให้มาก เพราะชีวิตจะฉิบหายได้ง่ายๆ
7.2. การไปอยู่ในบ้านอื่นเมืองอื่น หรือต่างที่ต่างถิ่น การเคารพในคนพื้นถิ่นหรือคนท้องที่ เป็นเรื่องสำคัญ ที่จริงก็มาจากรากฐานการเคารพในเพื่อนมนุษย์ที่ต้องมีนั่นแหละ
7.3. รวยแล้วอย่าลำพอง มีเส้นสายแล้วอย่าเหิมเกริมถึงเวลาเงินที่มีอาจพาความซวยมาให้ และเส้นสายที่มีก็จะขาดผึงไป ไม่มาดูดำดูดีมึงหรอก เพราะมึงทำให้เขาพลอยซวยไปด้วย
7.4. ดังฝรั่งเดวิด ที่ถูกตรวจสอบหมด ตั้งแต่ปางช้างมูลนิธิ ทรัพย์สิน วีซ่า มาเฟีย อั้งยี่ ฯลฯ
7.5. เตะเพียงเตะเดียว ที่อ้างว่าสะดุด กลายเป็นตีนที่ย้อนกลับมากระทืบตัวเองจมดิน คลิปที่ถ่ายไว้อย่างลำพองใจว่า นี่เขตบ้านกู กลายเป็นดาบที่ย้อนมาบั่นคอ กุดหัวตัวเอง แบบขาดสะบั้น
7.6. เส้นสายที่เคยมีหายหมด เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ เคลียร์ไม่ได้ ใหญ่เกินเขตอำนาจของเส้นสายที่มีไปเสียแล้ว วิธีการ “ไหว้สวย รวยกระเช้า” จึงต้องถูกงัดมาใช้ ขอโทษ ขออภัย สะดุด เพิ่งตื่น นึกว่านักท่องเที่ยวจีน ฯลฯ สารพัดคำแก้ตัวที่ไม่ช่วยให้คนเชื่อ กลับรู้สึกสมเพชและรังเกียจหนักยิ่งขึ้น
7.7. หนักที่สุดคือคำพูดที่ว่า “ไม่รู้ว่าเป็นหมอ” อ้าว... อีห่า!! จะหมอหรือหมา มึงก็ไม่ควรเตะทั้งนั้นแหละ พูดกันดีๆ ประสาคนก่อนมั้ย บอกกล่าวให้ทราบ ขอความร่วมมือก่อนหรือยัง
7.8. นี่ไง ตอนนี้ถึงได้ถูกตรวจทุกอย่าง อาจจะเข้าข่ายฟอกเงิน อาจจะไม่ได้ต่อวีซ่า อาจถึงขั้นถูกเนรเทศ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอะไร
7.9. ชื่นชมชาวภูเก็ตที่ลุกขึ้นสู้ ประเด็นที่ผู้เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบต่อจากประชาชนคนไทยและคนภูเก็ตคือ
l ธุรกิจข้ามชาติ ที่เข้ามาใช้ทรัพยากรในประเทศไทย ต้องโปร่งใส สุจริต ไม่เป็นพิษเป็นภัย
l มาเฟียทุกชนิด ทุกพื้นที่ ต้องถูกกำจัด
l การออกใบอนุญาตตั้งมูลนิธิ ต้องรอบคอบรัดกุมกว่าเก่า มีการติดตามตรวจสอบที่จริงจัง ป้องกันการใช้มูลนิธิที่จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน
l ปางช้าง ที่มีช้างจริงเพียงตัวเดียว ที่เหลือเป็นช้างเช่า เอามาแสวงประโยชน์ จะทำอย่างไร
l ระบบเส้นสายที่ถูกกล่าวอ้าง ต้องตรวจสอบและกระชากหน้ากากมันออกมา
l ชายหาดคือ #ที่สาธารณะ เรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นจริงทั่วประเทศ คืนชายหาดให้สาธารณะ ทั้งที่ภูเก็ต หัวหิน ชะอำ พัทยา และที่อื่นๆ
l องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องรักษาประโยชน์ของท้องถิ่น มากกว่าเรียกรับประโยชน์ส่วนตน
l ราชการและท้องถิ่นต้องหยุดคอร์รัปชั่น หยุดเช้าชามเย็นชาม หยุดเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
l มีผัวฝรั่ง ต้องไม่เริ่ด เชิด ลำพอง ชูคอเหนือกว่าคนอื่น เพราะมันก็แค่ผัว!! ดูสันดานทั้งของมันและของตัวเองด้วย
l ประเทศไทย คนต้องมีศักดิ์ศรี กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ การเข้ามาทำธุรกิจต้องถูกต้อง ตรวจสอบได้ และองค์กรหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล ต้องทำหน้าที่
หวังว่าเรื่องชั่วๆ ที่เกิดขึ้นนี้ จะนำเรื่องดีๆ มาสู่บ้านเมืองของเรา ที่ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟาง หรือลูบหน้าปะจมูก...เท่านั้น
ทั้งสองเรื่อง คือ “ฝรั่งเตะ กะเทยตบ” จึงต้องการให้บ้านเมือง “กระชับ” การตรวจคนเข้าเมือง การเข้ามาอาศัย ทำมาหากิน ให้ “สะอาด” และ “จริงจัง” กว่าที่เป็นมา!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี